เอกสารรายงาน


10 ทักษะสำหรับโลกอนาคต 2020
1. ทักษะการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน | COMPLEXPROBLEM SOLVING
ทักษะในการแก้ปัญหาแบ่งออกเป็นสองแบบ คือปัญหาระยะสั้นและปัญหาระยะยาว ปัญหาระยะสั้นคือปัญหาที่เกิดเฉพาะหน้าต้องเน้นความสามารถ ไหวพริบ และการตัดสินใจที่แน่วแน่ ส่วนปัญหาระยะยาวเป็นปัญหาที่ต้องอาศัยรูปแบบ แบบแผน และแนวทางขององค์กรนั้น ๆ ในการแก้ไขปัญหากล่าวโดยง่าย คือปัญหาระยะยาวเป็นปัญหาที่หลายฝ่าย ต้องมีส่วนร่วมในการแก้ไข และมีเวลาตัดสินใจนานขึ้น แล้วแต่ปัญหาที่เกิดขึ้น ส่วนปัญหาระยะสั้นเป็นทักษะส่วนบุคคลที่ไม่สามารถลอกแบบกันได้ หรือทำได้แค่ไม่เหมือน
การแก้ปัญหาได้ดี ต้องมีข้อมูล ไม่ว่าอะไรเป็น รากเหตุ สาเหตุ  วิธีการแก้ไขที่เป็นไปได้ ผลของการใข้วิธีแ้ก้ไขแต่ละเรื่อง  คนที่แก้ปัญหาเก่ง จะเป็นคนที่ตัดสินใจจากข้อมูล ไม่ใช่เป็นคนพึ่งโชคชะตาฟ้าดิน หรือโทษฟ้า โทษดิน โทษเพื่อนกันไปเรื่อยเปื่อย 
            การขวนขวายหาข้อมูล ป็นสมรรถนะเชิงพฤติกรรม ที่เกิดจากความอยากรู้อยากเห็น ความปรารถนาที่จะมีความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ หรือเกี่ยวกับคน หรือเกี่ยวกับประเด็นปัญหา ซึ่ง ความรู้นั้นจะต้องลึกซึ้งกว่าการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นประจำวันในหน้าที่การ งาน และจะต้องเจาะลึกหรือเค้นเอาข้อมูลที่แท้จริง เช่น การสร้างสมมุติฐานหลากหลายเพื่อการแก้ไขปัญหา หรือการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมเพื่อสรรหาโอกาสทางธุรกิจที่ยังมีคนสนใจน้อย พยายามเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่อาจจำเป็นที่จะนำมาใช้ในอนาคต
ระดับ 1 ทำการเปลี่ยนแปลงเมื่อถึงคราวจำเป็น
• ถามคำถามที่เกี่ยวข้อง เพื่อความกระจ่างในคำสั่งหรืองานที่ได้รับมอบหมาย
• รวบรวมข้อมูลที่มีอยู่แล้ว เพื่อทำความเข้าใจกับปัญหาให้มากขึ้น
ระดับ 2 ตรวจสอบด้วยตนเอง
• มุ่งตรวจสอบทำความเข้าใจในประเด็นปัญหา และค้นหาคำตอบด้วยตนเอง
• หาวิธีการใหม่ ในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ไม่ได้มีอยู่แล้ว
ระดับ 3 เจาะลึก
• ในการค้นหาคำตอบ จะไม่ด่วนสรุปทันทีเมื่อได้คำตอบแรก แต่จะเจาะลึกต่อไปจนกว่าจะพบคำตอบที่น่าจะถูกต้องมากกว่า
• ติดต่อประสานงานกับผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับประเด็นปัญหาเพื่อมุม มองอื่น ๆ และเรียนรู้วิธีการแก้ปัญหาในมุมองของคนเหล่านั้น
ระดับ 4 ทำการค้นหา  วิจัย
• เก็บข้อมูลและบทสะท้อนกลับ เพื่อการออกแบบและดำเนินการวิจัยอย่างเป็นทางการ
• ดำเนินการ เจาะลึก หรือวิจัยเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจตามความเหมาะสม
ระดับ 5 สร้างระบบของตน
• สร้างวิธีการปฏิบัติในการเก็บข้อมูลทั่วไป เพื่อใช้สนับสนุนการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ
• สรรหาและปรับปรุงข้อมูลที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจให้ทันสมัยอยู่เสมอ

2. ทักษะการคิดวิเคราะห์ | Critical Thinking
Analytical Thinking คือการทำความเข้าใจในสถานการณ์ด้วยการแยกส่วนประกอบต่าง ๆ ออกมาเป็นส่วน ๆ หรือการพยายามค้นหาร่องรอยของผลกระทบจากสถานการณ์หนึ่งอย่างเป็นขั้นเป็นตอน รวมถึงการเรียบเรียงที่มาของปัญหา หรือสถานการณ์อย่างมีระบบ สามารถเปรียบเทียบคุณลักษณะและองค์ประกอบที่แตกต่าง กำหนดระยะเวลา ลำดับความสำคัญก่อนหลังอย่างมีเหตุมีผล สามารถบ่งชี้ถึงเหตุและผลของการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขต่าง ๆ ที่จะมีต่อสถานการณ์และปัญหานั้น ๆ
ระดับ 1 แยกส่วนประกอบของปัญหา
                        • แยกส่วนประกอบของปัญหาออกมาเป็นส่วน ๆ เพื่อให้สามารถทำการวิเคราะห์ได้
                        • กำหนดขั้นตอนการแก้ไขปัญหา สำหรับปัญหาที่ไม่สลับซับซ้อน
ระดับ 2 มองเห็นความสัมพันธ์ขั้นพื้นฐาน
                        • วิเคราะห์หาสาเหตุและที่มาของปัญหา
                        • วางแผน จัดลำดับความสำคัญของการแก้ไขปัญหาอย่างมีเหตุมีผลและดำเนินการจากสิ่งที่สำคัญที่สุดเป็นลำดับแรก
ระดับ 3 มองเห็นความสัมพันธ์ในหลายระดับ
                        • วิเคราะห์หาสาเหตุต่าง ๆ และวิธีการที่หลากหลาย ในการแก้ไขปัญหาที่ยุ่งยาก
                        • คิดไปข้างหน้า และวางแผนงาน เพื่อหลีกเลี่ยง หรือเตรียมการรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ระดับ 4 วางแผนเพื่อวิเคราะห์ปัญหาที่สลับซับซ้อน
                        • วิเคราะห์ปัญหาเชิงธุรกิจที่สลับซับซ้อน โดยการคำนึงถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องด้วยมุมมองที่หลากหลาย
                        • วางแผนการที่มีหลากหลายขั้นตอน และใช้ทรัพยากรหลากหลายชนิด ในการแก้ไขปัญหาเชิงธุรกิจที่สลับซับซ้อน

3. ทักษะความคิดสร้างสรรค์ | Creativity
ความคิดสร้างสรรค์ คือ กระบวนการคิดของสมองซึ่งมีความสามารถในการคิดได้หลากหลายและแปลกใหม่จากเดิม โดยสามารถนำไปประยุกต์ทฤษฎี หรือหลักการได้อย่างรอบคอบและมีความถูกต้อง จนนำไปสู่การคิดค้นและสร้างสิ่งประดิษฐ์ที่แปลกใหม่หรือรูปแบบความคิดใหม่ นอกจากลักษณะการคิดสร้างสรรค์ดังกล่าวนี้แล้ว ยังมีสามารถมองความคิดสร้างสรรค์ในหลาย ซึ่งอาจจะมองในแง่ที่เป็นกระบวนการคิดมากกว่าเนื้อหาการคิด โดยที่สามารถใช้ลักษณะการคิดสร้างสรรค์ในมิติที่กว้างขึ้น เช่นการมีความคิดสร้างสรรค์ในการทำงาน การเรียน หรือกิจกรรมที่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ด้วย อย่างเช่น การทดลองทางวิทยาศาสตร์  หรือการเล่นกีฬาที่ต้องสร้างสรรค์รูปแบบเกมให้หลากหลายไม่ซ้ำแบบเดิม เพื่อไม่ให้คู่ต่อสู่รู้ทัน เป็นต้น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นลักษณะการคิดสร้างสรรค์ในเชิงวิชาการ แต่อย่างไรก็ตาม ลักษณะการคิดสร้างสรรค์ต่างๆ ที่กล่าวนั้นต่างก็อยู่บนพื้นฐานของความคิดสร้างสรรค์ โดยที่บุคคลสามารถเชื่อมโยงนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ดี ซึ่งหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้กำหนดมาตรฐานตัวชี้วัดด้านความคิดสร้างสรรค์ไว้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยีไว้หลายประการ  ซึ่งความคิดสร้างสรรค์ ควรจะประกอบไปด้วย 3  ประการ คือ
            1. สิ่งใหม่ (new, original) เป็นการคิดที่แหวกวงล้อมความคิดที่มีอยู่เดิม ที่ไม่เคยมีใครคิดได้มาก่อน ไม่ได้ลอกเลียนแบบใคร แม้กระทั่งความคิดเดิมๆ ของตนเอง
2.ใช้การได้ (workable) เป็นความคิดที่เกิดจากการสร้างสรรค์ที่ลึกซึ้ง และสูงเกินกว่าการใช้เพียง "จินตนาการเพ้อฝัน" คือ สามารถนำมาพัฒนาให้เป็นจริง และใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม และสามารถตอบสนองวัตถุประสงค์ ของการคิดได้เป็นอย่างดี
3. มีความเหมาะสม เป็นความคิดที่สะท้อนความมีเหตุมีผล ที่เหมาะสม และมีคุณค่า ภายใต้มาตรฐานที่ยอมรับกันโดยทั่วไป
              การที่คนเราจะมีความคิดสร้างสรรค์ ได้ตามลักษณะที่กล่าวมานั้น ขึ้นอยู่กับศักยภาพการทำงาน และการพัฒนาของสมอง ซึ่งสมองของคนเรามี 2 ซีก มีการทำงานที่แตกต่างกัน สมองซีกซ้าย ทำหน้าที่ในส่วนของการตัดสินใจ การใช้เหตุผล สมองซีกขวา ทำหน้าที่ในส่วนของการสร้างสรรค์ แม้สมองจะทำงานต่างกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว สมองทั้งสองซีก จะทำงานเชื่อมโยงไปพร้อมกัน ในแทบทุกกิจกรรมทางการคิด โดยการคิดสลับกันไปมา อย่างเช่น การอ่านหนังสือ สมองซีกซ้ายจะทำความเข้าใจ โครงสร้างประโยค และไวยากรณ์ ขณะเดียวกัน สมองซีกขวาก็จะทำความเข้าใจ เกี่ยวกับลีลาการดำเนินเรื่อง อารมณ์ที่ซ่อนอยู่ในข้อเขียน ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องพัฒนาสมองทั้งสองซีกไปพร้อมๆ กัน ไม่สามารถแยกพัฒนาในแต่ละด้านได้ การค้นพบหน้าที่แตกต่างกันของสมองทั้งสองส่วน ช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จากได้มากขึ้น
             หลักความคิดสร้างสรรค์ของกิลฟอร์ด มุ่งไปที่ความสามารถของบุคคลที่จะคิดได้ รวดเร็วกว้างขวาง และมีความคิดริเริ่ม ถ้ามีส่งเร้ามากระตุ้นให้เกิดความคิดนั้นๆ สิ่งเร้าที่จะมากระตุ้นให้เกิดความคิด มีอยู่ 4 ชนิด

           1. รูปภาพ
           2. สัญลักษณ์
           3. ภาษา
           4. พฤติกรรม
              ความคิดสร้างสรรค์เป็นความสามารถของบุคคลในการคิดสร้างสรรค์ผลิตผล หรือสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ ที่ไม่รู้จักมาก่อน ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้อาจจะเกิดจากการรวมความรู้ต่างๆ ที่ได้รับจากประสบการณ์แล้วเชื่อมโยงกับสถานการณ์ใหม่ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นแต่ไม่จำเป็นสิ่งสมบูรณ์อย่างแท้จริง ซึ่งอาจออกมาในรูปของผลผลิตทางศิลปะ วรรณคดี วิทยาศาสตร์ เป็นต้น

4. ทักษะการบริหารจัดการคน | People Management
การค้าเสรี ความคาดหวังของลูกค้าที่สูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ตลอดจน ความคาดหวังของบุคลากรที่เปลี่ยนแปลงไป … สิ่งสำคัญเหล่านี้ล้วนมีผลกระทบต่อการกำหนดนโยบาย แผนงาน กลยุทธ์ ในการบริหารจัดการองค์กรที่ต้องมีการปรับปรุง พัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การดำเนินการต่างๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการให้ความสำคัญกับระบบการบริหารทรัพยากรบุคคลที่ดีในองค์กร เสมือนเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของการดำเนินงานอย่างยั่งยืน
           ส่วนบริหารทรัพยากรบุคคล สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ เป็นหน่วยงานหนึ่งที่ให้บริการด้านการฝึกอบรมพัฒนาพนักงาน หัวหน้างาน ผู้บริหาร ในด้านพัฒนาทักษะการบริหารจัดการ ตลอดจนการบริการปรึกษาแนะนำการพัฒนาระบบงานด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลโดยรวม ในด้านต่างๆ ตามความเหมาะสม กับสภาพปัญหา และความต้องการของแต่ละองค์กร โดยมุ่งเน้นที่จะให้บริการอย่างมีคุณภาพ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ และคำนึงถึงความพึงพอใจของลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญ

1. การสำรวจความคิดเห็น/ความพึงพอใจของพนักงาน (Employee Opinion Survey) และจัดทำแผนแม่บทการบริหารทรัพยากรบุคคล (HR Master Plan) การสำรวจด้านปัจจัยที่มีผลต่อแรงจูงใจในการทำงานมีความสำคัญต่อการวางแผนการบริหารทรัพยากรบุคคล องค์กรจะทราบถึงปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความพึงพอใจในการทำงาน การพัฒนาตนเอง และการพัฒนาผลการปฏิบัติงาน เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนการบริหารทรัพยากรบุคคล แผนแม่บทการบริหารทรัพยากรบุคคล ถือเป็นแนวทางหลักที่จะพัฒนากระบวนการบริหารจัดการบุคลากรเพื่อตอบสนองต่อทิศทางการดำเนินธุรกิจ และเป้าหมายขององค์กร
2. Competency Model และการประยุกต์ใช้ประโยชน์ เพื่อสำรวจและกำหนดสมรรถนะที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงาน/พัฒนาบุคลากรขององค์กร ได้แก่ สมรรถนะหลัก ( Core Competency) สมรรถนะด้านบริหาร (Management Competency) และสมรรถนะตามสายงาน ( Functional Competency) ของตำแหน่งงานต่างๆ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญของการบริหารงานบุคคลให้มีประสิทธิภาพในทุกๆ ด้าน เช่น การสรรหาพนักงาน การกำหนดค่าตำแหน่งงาน การประเมินผลการปฏิบัติงาน การวางแผนความก้าวหน้าในวิชาชีพ ตลอดจนการจัดทำแผนการพัฒนาพนักงาน ผู้บริหาร และหัวหน้างานขององค์กรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ Competency และแนวคิด วิธีการนำไปประยุกต์ใช้ประโยชน์ในการบริหารงานบุคคล ขององค์กร
3. การจัดทำใบพรรณนาลักษณะงาน ( Job Description ) ที่เป็นมาตรฐาน และตัวชี้วัดประจำตำแหน่งงาน เพื่อให้องค์กรมีใบพรรณนาลักษณะงาน ของตำแหน่งงานต่างๆ ในองค์กรที่ทันสมัยและเป็นมาตรฐาน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของระบบงานบริหารบุคคลขององค์กร เช่น การสรรหาคัดเลือกพนักงาน การมอบหมายงาน การประเมินค่างาน การบริหารค่าตอบแทน ฯลฯ เป็นต้น ผู้บริหาร หัวหน้างาน พนักงานได้รับความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิด วิธีการ ในการจัดทำใบกำหนดหน้าที่งานที่ถูกต้อง ตลอดจนการนำไปใช้ประโยชน์ในการทำงานประจำวัน อาจเพิ่มเติมตัวชี้วัดผลสำเร็จของงาน (KPI) ของตำแหน่งงานต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้เกิดความชัดเจนในเรื่องเป้าหมาย ความคาดหวัง ในการทำงาน ต่างๆของพนักงาน ตลอดจนการประเมินผลการปฏิบัติงานที่ชัดเจนและสอดคล้องกับความคาดหวังขององค์กร
4. การพัฒนาระบบประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงาน ( Performance Management System) ออกแบบระบบเพื่อวัดผลการปฏิบัติงานของพนักงาน ที่สอดคล้องกับทิศทางการดำเนินธุรกิจและแนวคิดการบริหารผลงานสมัยใหม่ จัดทำแบบประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงาน ตลอดจนจัดทำคู่มือการประเมินผลการปฏิบัติงานสำหรับเป็นแนวทางการบริหารจัดการระบบประเมินผลการปฏิบัติงาน พัฒนาความรู้ ความเข้าใจ ในแนวคิด ความสำคัญของการประเมินผลการปฏิบัติงาน ตลอดจนความรู้ ความเข้าใจในกระบวนการประเมินผลการปฏิบัติงานให้กับพนักงาน
 5. การสำรวจหาความจำเป็น และจัดทำแผนฝึกอบรม พัฒนาพนักงาน ( Training Roadmap & Plan ) เพื่อกำหนดแผนการฝึกอบรมระยะสั้นและระยะยาว ( Training Roadmap) ที่สอดคล้องกับแผนการดำเนินธุรกิจ และตรงกับความต้องการของพนักงาน หัวหน้างาน และผู้บริหารในการที่ต้องการได้รับการพัฒนาเพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตามแผนการดำเนินธุรกิจขององค์กร ทั้งในปัจจุบัน และพร้อมต่อการแข่งขันในอนาคต
6. การประเมินค่าตำแหน่งงาน ( Job Evaluation ) และการจัดระดับตำแหน่งงาน( Job Grading ) เพื่อให้ทราบถึงค่าความสำคัญของตำแหน่งงานต่างๆ ภายในองค์กร ซึ่งจะเป็นข้อมูลสำคัญในการนำไปใช้ประโยชน์ในการจัดระดับตำแหน่งงาน การบริหารค่าจ้าง สวัสดิการ
7. การจัดทำ ปรับปรุงโครงสร้างเงินเดือนพนักงาน ( Salary Structure ) เพื่อให้องค์กรมีโครงสร้างเงินเดือนที่เหมาะสมกับรูปแบบการบริหารจัดการ และ สอดคล้องกับตลาดแรงงานในอุตสาหกรรม/ธุรกิจประเภทเดียวกัน สามารถบริหารค่าตอบแทน เงินเดือน สวัสดิการพนักงานในระดับต่างๆได้อย่างเหมาะสมกับหน้าที่ความรับผิดชอบ และความสำคัญของแต่ละตำแหน่งงาน เพื่อช่วยให้องค์กรมีนโยบาย แนวทาง ระเบียบปฏิบัติที่ชัดเจนในการที่จะ บริหารค่าจ้างเงินเดือนพนักงานในกรณีต่างๆ เช่น การกำหนดอัตราค่าจ้างเริ่มต้น การปรับค่าจ้างประจำปี การปรับค่าจ้างกรณีเลื่อนตำแหน่งงาน การปรับค่าจ้างเป็นกรณีพิเศษ เป็นต้น
8. การจัดทำ ปรับปรุง ระเบียบข้อบังคับการทำงานฯ หรือ คู่มือพนักงาน เพื่อให้องค์กรมีระเบียบข้อบังคับการทำงานของบริษัทฯ ที่เหมาะสมกับประเภท ลักษณะการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนสอดคล้องกับข้อกำหนดต่างๆ ของกฎหมายแรงงานที่เกี่ยวข้อง พัฒนาความรู้ ความเข้าใจ ของผู้บริหาร และหัวหน้างานทุกระดับในองค์กรในการที่จะดูแลพนักงานตามแนวทางปฏิบัติที่ระเบียบข้อบังคับฯ กำหนด ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และอย่างมีประสิทธิภาพ
9. การวางแผนสื่อสารภายในองค์กร (Communication Plan) แผนการสื่อสารภายในองค์กรเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามแผนบริหารความเปลี่ยนแปลง ( Change Management) การสร้างวัฒนธรรมองค์กร แผนการสือสารจึงต้องสอดคล้องกับเป้าหมายการดำเนินงานขององค์กร ส่งเสริมสัมพันธภาพที่ดี และมีตัวชี้วัดประสิทธิผลที่ชัดเจน
10. การสร้างค่านิยม วัฒนธรรมองค์กร ( Core Value , Organization Culture ) การกำหนดค่านิยมองค์กรเพื่อใช้ในการกำหนดพฤติกรรมบุคลากรที่ส่งเสริมความสำเร็จขององค์กร สร้างสัมพันธภาพต่อผู้มีส่วนได้เสีย และองค์กรมีแนวทางการสร้างวัฒนธรรมตามค่านิยมที่กำหนดเป็นพื้นฐานในการกำหนดและพัฒนาสมรรถนะของบุคลากรต่อไป
11. การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม และวิทยากรภายในบริษัท องค์กรมีวิทยากรภายในที่มีทักษะในการถ่ายทอดที่ดี มีคู่มือผู้สอนสำหรับหลักสูตรภายใน บริษัทได้หลักสูตรมาตรฐานของบริษัท ประมาณ 5 6 หลักสูตร และวิทยากรภายในประจำแต่ละหลักสูตร
 5. ทักษะการทำงานร่วมกัน | Coordinating with Others
            ทักษะการทำงานร่วมกันเป็นทักษะทางสังคมที่สำคัญอย่างหนึ่งของมนุษย์เพราะมนุษย์
เป็นสัตว์สังคม
            การทำงานเป็นกลุ่มจะเน้นการมีส่วนร่วมโดยบุคคลหรือสมาชิกกลุ่มที่มีความรู้
ความสามารถร่วมมือกันทำงานมีการระดมสมองเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพทั้ง
ในด้านปริมาณและคุณภาพดังนั้งการทำงานเป็นกลุ่มจึงมัลักาณะเป็นกระบวนการ
ที่เรียกว่า  กระบวนการกลุ่ม
            กระบวนการกลุ่มหมายถึง  กระบวนการทำงานร่วมกันตั้งแต่  2 คนขึ้นไปโดยมี
วัตถุประสงค์และการดำเนินงานร่วมกัน
            ลักษณะกลุ่มที่ดีมีลักษณะดังนี้
                        1.มีโครงสร้าง  มีการจัดตำแหน่งหน้าที่ได้เหมาะสมกับความรู้เช่น ประธาน  รองประธาน 
รองหัวหน้า เหรัญญิก  ประชาสัมพันธ์ เลขานุการ
                        2.มีความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิก   
                        3.มีบรรทัดฐานหรือกฏระเบียบ
                        4.มีค่านิยมและทัศนคติเหมือนกัน 
                        5.มีงานมีกิจกรรมมีวัตถุประสงค์ของกลุ่ม
                        6.ต้องมีเวลาในการอยู่ร่วมกันระยะหนึ่ง 
                        7.สมาชิกทุกคนต้องมีความคุ้นเคยกันอย่างดี
            หลักการทำงานของกระบวนการกลุ่มมีขั้นตอนดังนี้
            1.ขั้นตระหนัก  สมาชิกทุกคนเห็นความสำคัญของกิจกรรมกจกรรมที่สำคัญของ
กระบวนการกลุ่มที่จะต้องทำมี  6  ประการ
                        1.ประชุมเพื่อเลือกประธาน 
1.มอบหมายหน้าที่ 
1.มอบหมายงาน
1.4สมาชิกร่วมกันอภิปราย 
1.ผู้ทำหน้าที่เลขาต้องบันทึก 
                        1.6ก่อนปิดประชุมต้องนัดหมาย
            2.ขั้นวางแผนปฏิบัติงาน  สมาชิกร่วมกันวางแผนว่าจะปฏิบัติงานวิธีไหน
มีขั้นตอนอย่างไร  ใครเป้นผู้รับผิดชอบจะติดตามตรวจสอบอย่างไรปรับปรุงแก้ไข
            3.ขั้นลงมือปฏิบัติงาน  นักเรียนปฏิบัติงานตามแผนที่ได้วางไว้โดยมีตารางการปฏิบัติงาน
            4.ขั้นตรวจสอบประเมินผลงาน  เป็นไปตามแผนหรือไม่มีอุปสรรคอะไร มีสิ่งใด
ต้องปรับปรุงแก้ไขอาจมอบหมายให้ผู้ปฏิบัติงานเป็นผู้ตรวจหรือสมาชิกคนอื่น
            5.ขั้นปรับปรุง  แก้ไข และพัฒนางานหลังจากมีการประเมินผลการปฏิบัติงานถ้างาน
ไม่เป็นไปตามกำหนดเป้าหมายต้องปรับปรุงแก้ไขหรือให้พัฒนายิ่งขึ้น
          
ระยะเวลาของการทำงานด้วยกระบวนการกลุ่ม
                        1.ระยะสร้างสัมพันธภาพ  ระหว่างผู้นำกับสมาชิกกลุ่มผู้นำกลุ่มต้องสร้างบรรยากาศ
สร้างความไว้วางใจไม่ใช้ความคิดตัวเองเป็นตัวตัดสิน
                        2.ระยะดำเนินการ  เป็นระยะที่สมาชิกไว้วางใจ
                        3.ระยะสิ้นสุดการทำงานกลุ่ม  ผู้นำกลุ่มจะสรุปผลงานและประสบการณ์ทั้งหมด
ในการทำงานและให้สมาชิกประเมินความก้าวหน้า
6. ทักษะความฉลาดทางอารมณ์ | Emotional Intelligence

การพัฒนาทักษะความฉลาดทางอารมณ์

            เนื่องจากความฉลาดทางอารมณ์ มีความสัมพันธ์อย่างมากกับการประสบความสำเร็จในชีวิตของบุคคล จึงเป็นหน้าที่ของบิดามารดา ครู อาจารย์ และผู้เกี่ยวข้องจักต้องร่วมกันพัฒนาทักษะความฉลาดทางอารมณ์ตั้งแต่วัยเด็ก แนวทางในการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ทำได้ดังนี้
1.      ฝึกการตระหนักรู้อารมณ์ของตนเองคือ การทำความเข้าใจ ตระหนักรู้อารมณ์ของตนเองว่ามี อะไรเกิดขึ้นในใจ สามารถรับรู้ความรู้สึกของตนเองได้ หลีกเลี่ยงการดูถูกหรือตำหนิติเตียน ให้ความรู้ เกี่ยวกับการเข้าใจตนเอง เข้าใจคนอื่น 
2.      ฝึกการควบคุมอารมณ์ของตนเอง ในกรณีที่เกิดความผิดหวังหรือความเศร้าเสียใจ โดยสามารถปรับปรุงตนเมื่อเผชิญกับความรู้สึกนั้น และนำอารมณ์กลับมาสู่สภาพปกติให้เร็วที่สุด 
3.      ฝึกความสามารถในการจูงใจตนเองคือจะต้องรู้จักควบคุมตนเอง ให้กำลังใจตนเอง และสร้างแรงบันดาลใจที่จะกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้บรรลุเป้าหมายในชีวิต 
4.      ฝึกความสามารถในการเข้าใจความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่นคือสามารถตรวจสอบ อารมณ์ ความรู้สึก และความต้องการของตนเองและผู้อื่น 
5.      ฝึกความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์กับคนรอบข้างมีศิลปะในการสร้างสัมพันธภาพ มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี รู้เขารู้เรา และสามารถจัดการกับความขัดแย้งระหว่างบุคคล
             จากที่กล่าวมาทั้งหมดอาจสรุปได้ว่า ความฉลาดทางอารมณ์มีความสำคัญต่อการประสบความสำเร็จในชีวิต เพราะความฉลาดทางอารมณ์มิได้ถูกกำหนดมาจากพันธุกรรม และไม่ได้พัฒนาสมบูรณ์ตอนวัยเด็กเหมือนความฉลาดทางสติปัญญา หากแต่สามารถพัฒนาได้โดยการเรียนรู้ตลอดเวลา การพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์จึงต้องครอบคลุมทั้ง 5 ประการดังกล่าว
7.ทักษะการประเมินและตัดสินใจ | Judgment and Decision Making
การแก้ปัญหาและตัดสินใจ ประกอบด้วยการวิเคราะห์ 4 ด้าน คือ

1.   การวิเคราะห์สถานการณ์ เป็นการพิจารณาถึงงานที่รับผิดชอบ หรือปัญหาที่ต้องแก้ไข หากมีหลายงาน/ปัญหาที่ต้องดำเนินการ เราต้องจัดลำดับความสำคัญ เพื่อที่จะดูว่าต้องทำอะไรก่อน อะไรหลังหลัง
2.   การวิเคราะห์หาสาเหตุแห่งปัญหา เพื่อการแก้ไขปัญหาให้ตรงสาเหตุ
3.   การวิเคราะห์วิธีแก้ปัญหา ปัญหาหนึ่ง อาจมีทางออกหลายทางต้องวิเคราะห์แล้วเลือกวิธีที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหา
4.   การวิเคราะห์วิธีป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นและเตรียมการแก้ไขปัญหาในอนาคต ปัญหาบางอย่างเราอาจทราบว่าหากทำงานนี้ ต้องเกิดปัญหาขึ้นอย่างแน่นอน ต้องเตรียมแก้ปัญหาไว้ เมื่อปัญหานั้นเกิดขึ้นจะแก้ไขได้ทันท่วงที

การวิเคราะห์ในแต่ละด้านที่กล่าวมามีวิธีการในการดำเนินการดังนี้
1.   การวิเคราะห์/ประเมินสถานการณ์   Managing your Time
        -      ทบทวนงาน/ปัญหาใหม่
-      จัดลำดับความสำคัญใหม่
-      ตัดสินใจอีกครั้ง
-      เลือกใหม่
2.  การวิเคราะห์หาสาเหตุแห่งปัญหา Searching for the Fact ค้นหาความจริงก่อนจึงแก้ไข
-      สำรวจหาสาเหตุของปัญหาที่แท้จริง
-      จัดลำดับความสำคัญของปัญหาที่จะแก้ไขปัญหาที่สำคัญ คือปัญหาที่มีผลกระทบต้องคนส่วนใหญ่
-      เลือกปัญหาที่สำคัญเพื่อแก้ไขก่อน
-      แก้ไขปัญหา
3.  การวิเคราะห์วิธีแก้ปัญหา Choosing the right one
-      ตรวจสอบดูก่อนว่า เป็นสิ่งที่ต้องการจริงๆหรือไม่
-      พิจารณาดูว่ามีตัวเลือกอะไรบ้าง
-      ให้พิจารณาดูว่ามีอะไรที่เป็นสิ่งที่ต้องทำ (must) และอะไรเป็นสิ่งที่ควรทำ
-      วิธีการแก้ปัญหาที่เลือกใช้ต้องประหยัด ง่าย และปลอดภัย
4.  การวิเคราะห์วางแผนและป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับแผนการดำเนินงานตามที่วางไว้ คือ Predicting your Future  การทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าโดย
-      วิเคราะห์ว่าปัญหาใดที่มีโอกาสเกิดขึ้นมาก
-      คาดการณ์/ทำนายสิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่ๆ
-      วางแผนป้องกันไม่ให้ปัญหานั้นเกิด
-      ป้องกันแล้วแต่ก็อาจเกิดได้ ต้องเตรียมการรับมือกับปัญหานั้น
8. ทักษะมีใจรักการบริการ | Service Orientation

การบริการ

การบริการ คือ การให้ความช่วยเหลือหรือการดำเนินการเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นการบริการที่ดีผู้รับบริการจะได้รับความประทับใจและเกิดความชื่นชมองค์กร อันเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีแก่องค์กรเบื้องหลังความสำเร็จของทุกงาน มักจะมีงานบริการเป็นเครื่องมือในการสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นงานประชาสัมพันธ์งานบริการวิชาการต่างๆ ตลอดทั้งความร่วมมือ ร่วมแรงร่วมใจจากเจ้าหน้าที่ทุกระดับซึ่งจะต้องช่วยกันขับเคลื่อนพัฒนางานบริการให้มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ จนเกิดเป็น

จิตบริการ

1.     เวลาทุกนาทีมีค่าสำหรับผู้รับบริการ
2.     การให้บริการที่ดี เริ่มจากการให้บริการที่ดีกับคนในองค์กรก่อน
3.     การให้บริการที่เกินความคาดหวังเป็นที่สุดของการบริการ
4.     การให้บริการที่ดีส่งผลต่อภาพลักษณ์ขององค์กร

หลักการรับฟัง...ด้วยใจ

1.     เปิดใจที่จะรับฟัง
2.     ให้เกียรติผู้พูด
3.     ตระหนักถึงความสำคัญของผู้พูด
4.     ฟังอย่างมีสติ
5.     ฟังเสียงโดยปราศจากอคติ
6.     ฟังด้วยความใส่ใจและอย่างจริงใจ
7.     ฟังโดยรับรู้สาระได้อย่างถูกต้องตรงตามที่ผู้พูดต้องการสื่อสาร
8.     ฟังโดยรับรู้ถึงอารมณ์และความรู้สึกของผู้พูดอย่างถูกต้องตรงสภาพความเป็นจริง
9.     รับฟังโดยไม่ฆ่าตัดตอนการสื่อสาร
10.  มีคุณธรรมและจริยธรรมในการรับฟัง

หลักการสื่อความ...ด้วยใจ

1.     เปิดใจที่จะสื่อความ
2.     ให้เกียรติต่อผู้ฟังเสมอ
3.     คิดก่อนพูดเสมอ
4.     ถ่ายทอดด้วยความจริงใจ
5.     มีความสามารถในการจัดการอารมณ์
6.     ใช้ภาษาเป็นและเหมาะสม
7.     สื่อความข้อมูลที่เป็นจริงและมีคุณภาพมีพฤติกรรมการสื่อความที่แสดงความเป็นมิตรและเป็นกันเอง
8.     สื่อความโดยไม่ฆ่าตัดตอนการสื่อสารมีคุณธรรมและจริยธรรมในการสื่อความ

9. ทักษะการเจรจาต่อรอง | Negotiation
            การเจรจาต่อรองนั้นไม่ว่าจะเป็นการเจรจากับลูกค้า หรือแม้แต่บุคลากรในหน่วยงานเดียวกันต้อง มีเทคนิคที่ดี เพื่อให้การเจรจานำไปสู่ข้อตกลงที่พึงพอใจกันทั้งสองฝ่ายจึงจะถือว่าการเจรจาต่อรองนั้น ประสบความสำเร็จ โดยมีเทคนิคในการเจรจาต่อรองดังนี้
1.      เก็บข้อมูลของอีกฝ่าย และวางแผนการเจรจาต่อรอง ต้องศึกษาข้อมูล และประเมินของ ฝ่ายตรงข้ามว่าเขาต้องการอะไร เพื่อที่คุณจะสามารถวางแผนยื่นข้อเสนอได้อย่างเหมาะสม เพราะหากคุณยื่นข้อเสนอ ที่เขาไม่สนใจ การเจรจานั้นย่อมไม่เกิดข้อตกลงที่น่าพึงพอใจอย่างแน่นอน
2.      เตรียมฝึกการพูด วางแผนกลวิธีการโน้มน้าวใจ ควรฝึกพูด ให้คล่อง เตรียมข้อมูลให้แม่นยำ น่าเชื่อถือ วางแผนให้ดีว่าคำถาม ที่คาดว่าจะถูกถามมีอะไรบ้าง รวมทั้งฝึกตอบคำถามเหล่านั้น อย่างฉะฉาน
3.      นำเสนอประโยชน์ที่เขาจะได้รับ แต่ไม่อวดอ้างเกินจริง ไม่ควรเอาแต่พูดถึงประโยชน์ของตนเอง แต่ควรบอกให้อีกฝ่ายทราบ ถึงประโยชน์และผลดีที่เขาจะได้รับเพื่อเป็นการโน้มน้าวใจ โดยที่ ประโยชน์นั้นต้องอยู่บนพื้นฐานความจริง ไม่โกหกหลอกลวง หรือกล่าวอ้างเกินจริง
4.      แสดงเงื่อนไขที่แตกต่าง การกระตุ้นให้การเจรจาต่อรองประสบ ความสำเร็จนั้น ต้องแสดงเงื่อนไขที่แตกต่าง ให้เห็นว่าข้อเสนอ ของคุณมีความโดดเด่น และให้ประโยชน์กับอีกฝ่ายได้มากกว่า คนอื่น ๆ
5.      สร้างความน่าเชื่อถือ แสดงข้อมูลให้มาก หากรู้ตัวว่าตกเป็นรอง ต้องพยายามแสดงข้อมูลให้มาก เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และใช้ เทคนิคการพูดเพื่อโน้มน้าวเขาให้ได้ แต่หากฝ่ายคุณเหนือกว่า ก็ไม่ควรรุกเร้า กดดัน หรือเอาเปรียบเขาจนเกินไป
6.      ปรับกลยุทธ์ได้ทุกเมื่อ การต่อรองที่ดีต้องรู้จักปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ ได้ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้คุณตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ โดยใช้ไหวพริบ และปฏิภาณของคุณ รวมทั้งการมีอารมณ์ขันก็สามารถพลิก สถานการณ์ได้
7.      สุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน การวางตัวของคุณจะต้องมีความสุภาพ และถ่อมตน จะทำให้การเจรจานั้นราบรื่นกว่าการ แสดงตนเหนือกว่า และโอ้อวดตนเอง แต่ก็ไม่ควรถ่อมตนมากเกินจนดูต่ำต้อย และเสียเปรียบในการเจราจาต่อรอง
8.      ไม่ยกประโยชน์ให้อีกฝ่ายง่ายเกินไป ต้องมีจุดยืนในการเจรจาต่อรอง ไม่ให้เขารู้สึกว่าคุณอยากตกลงกับเขา จนยอมทุกอย่างโดยง่ายดาย ต้องรู้จักแสดงท่าทีเพื่อรักษาผลประโยชน์ของฝ่ายคุณไว้ด้วย
9.      กล้าปฏิเสธ และเรียกร้องบ้าง ถ้าคุณไม่กล้าปฏิเสธ คุณจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบทันที ดังนั้นคุณต้องกล้าปฏิเสธ กล้าบอกว่าขอคิดดูก่อน และกล้าเรียกร้องในสิ่งที่ต้องการด้วย เมื่อคุณยังไม่พึงพอใจในการเจรจาก็ยังไม่จำเป็น ต้องรีบตกลง
10.   หากเจรจาไม่สำเร็จ ต้องกล้าที่จะถอย หากรู้แน่ชัดว่า เขาไม่ตกลงกับคุณแน่แล้ว ต้องกล้าพอที่จะยกเลิก การเจรจานั้นทันที ให้โอกาสอีกฝ่ายได้พักหายใจสักระยะ แล้วค่อยติดต่อเข้าไปใหม่ โดยไม่กระชั้นเกินไป และไม่ห่างหายนานเกินไปจนอีกฝ่ายจำข้อมูลที่คุยกันไม่ได้
          ไม่ว่าผลการเจรจาต่อรองจะเป็นอย่างไร ขอให้ทำทุกอย่างให้จบลงด้วยดี เพราะในการทำงาน และการทำธุรกิจ คุณกับเขาอาจมีโอกาสต้องติดต่อประสานงานกันอีกในวันข้างหน้า
10.ทักษะความยืดหยุ่นทางความคิด | Cognitive Flexibility
ความยืดหยุ่นได้ทางด้านจิตใจ หรือ ความฟื้นสภาพได้ทางด้านจิตใจ หรือ การฟื้นตัวได้ มีนิยามว่าเป็นสมรรถภาพของบุคคลในการปรับตัวเข้ากับสิ่งที่ต้องทำในชีวิตเมื่อเผชิญกับความเสียเปรียบทางสังคม หรือกับสถานการณ์ที่มีอุปสรรคมาก อุปสรรคหรือความเครียดอาจมาในรูปแบบของปัญหาทางครอบครัวหรือความสัมพันธ์ ปัญหาสุขภาพ ปัญหาที่ทำงาน และปัญหาการเงินเป็นต้น ความยืดหยุ่นได้ก็คือสมรรถภาพในการฟื้นสภาพจากประสบการณ์ร้ายโดยยังดำรงชีวิตได้อย่างสามารถ ซึ่งเป็นสมรรถภาพที่ไม่ใช่มีกันน้อย จริง ๆ พบในบุคคลทั่วไปและทุกคนย่อมสามารถศึกษาและพัฒนาได้ เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาว่าเป็นกระบวนการ ไม่ใช่เป็นลักษณะนิสัยที่มี มันเป็นกระบวนการทำให้คนต่างกันโดยผ่านระบบที่ช่วยให้ค่อย ๆ พบความสามารถเฉพาะบุคคลที่ไม่เหมือนกับคนอื่น
ความเข้าใจผิดที่สามัญอย่างหนึ่งก็คือคนที่ฟื้นสภาพได้ดีไม่มีอารมณ์หรือความคิดเชิงลบ และมองโลกในแง่ดีในสถานการณ์โดยมากหรือทั้งหมด จริง ๆ เป็นตรงกันข้าม คือ คนที่ฟื้นสภาพได้จะพัฒนาเทคนิคการรับมือต่าง ๆ ที่ช่วยนำทางหลบหรือผ่านวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ไปได้อย่างมีประสิทธิผลและอย่างง่าย ๆ โดยเปรียบเทียบ กล่าวอีกอย่างก็คือ ผู้ที่สามารถฟื้นสภาพได้ก็คือคนที่มีทัศนคติมองโลกในแง่ดี มักมีอารมณ์ดี และโดยข้อปฏิบัติ สามารถดุลอารมณ์เชิงลบด้วยอารมณ์เชิงบวก
การกระตุ้นให้เด็กคิดยืดหยุ่นจะนำมาซึ่งความคิดสร้างสรรค์ กิจกรรมของการฝึกยืดหยุ่นทางความคิดที่นำไปสู่ความคิดสร้างสรรค์ทำได้ไม่ยาก รายละเอียดเกี่ยวกับองค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์มีดังนี้
  - ความคิดริเริ่ม
  - ความคิดคล่องแคล่ว
  - ความคิดยืดหยุ่น
  - ความคิดละเอียดละออ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น