กิจกรรม( Activity )
1.สืบค้นจากหนังสือหรือเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
เรื่องประเภทของหลักสูตร การออกแบบหลักสูตร
หลักสูตรบูรณาการ
เป็นหลักสูตรที่พัฒนามาจากหลักสูตรกว้างโดยนำเอาเนื้อหาของวิชาต่างๆ
มาหลอมรวม ทำให้ความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละวิชาหมดไป
ลักษณะของหลักสูตรบูรณาการที่ดี
1. บูรณาการระหว่างความรู้และกระบวนการเรียนรู้
อาจใช้วิธีการถ่ายทอดความรู้อย่างง่ายๆ เช่น การบอกเล่า การบรรยาย และการท่องจำ
2. บูรณาการระหว่างพัฒนาการทางความรู้และพัฒนาการทางจิตใจ
คือมุ่งในด้านพุทธิพิสัย อันได้แก่ความรู้ ความคิด และการแก้ปัญหา
มากกว่าด้านจิตพิสัย คือ เจตคติ ค่านิยม ความสนใจ และความสุนทรียภาพ
3. บูรณาการระหว่างความรู้และการกระทำ
การสร้างสหสัมพันธ์ระหว่างความรู้และการกระทำมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าระหว่างความรู้และจิตใจ
โดยเฉพาะในด้านจริยศึกษา
การเรียนรู้เรื่องค่านิยมและการส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความสามารถในการเลือกค่านิยมที่เหมาะสม
4. บูรณาการระหว่างสิ่งที่เรียนในโรงเรียนกับสิ่งที่เป็นอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้เรียนสิ่งหนึ่งที่จะพิสูจน์ว่าหลักสูตรดีหรือไม่ดี
5. บูรณาการระหว่างวิชาต่างๆ
นำเอาเนื้อหาของวิชาหนึ่งมาเสริมอีกวิชาหนึ่ง
เพื่อให้ผู้เรียนได้รับความรู้และเกิดเจตคติตามที่ต้องการ โดยอาศัยเนื้อหาของหลายๆ
วิชา มาช่วยในการแก้ปัญหานั้น
รูปแบบของบูรณาการ
1. บูรณาการภายในหมวดวิชา
เป็นการสอดคล้องกับแนวความคิดของหลักสูตรที่ว่าการเรียนรู้ต้องมีลักษณะเป็นสหวิทยาการ
2. บูรณาการ
ภายในหัวข้อ และโครงการคือการนำเอาความรู้ ทักษะและประสบการณ์
ของวิชาหรือหมวดวิชาตั้งแต่สองวิชาหรือหมวดวิชาขึ้นไปมาผสมผสานกันในลักษณะที่เป็นหัวข้อหรือโครงการ
3. บูรณาการโดยการผสมผสานปัญหาและความต้องการของผู้เรียนและของสังคม
ผู้เรียนจำเป็นต้องศึกษาหาความรู้จากวิทยาการต่างๆหลายสาขา
รวมทั้งมีทักษะที่จำเป็นเพื่อที่จะแก้ปัญหาสิ่งที่ปรากฎชัดใน
การเรียนรู้ได้
หลักสูตรกว้าง
มีจุดมุ่งหมายที่จะส่งเสริมการเรียนการสอนให้เป็นที่น่าสนใจและเร้าใจ
ช่วยให้ผู้เรียนมีความเข้าใจและสามารถปรับตนให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมได้เป็นอย่างดี
รวมทั้งให้มีพัฒนาการในด้านต่างๆ ทุกด้าน
พัฒนาการ/วิวัฒนาการหลักสูตร
หลักสูตรกว้างเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศอังกฤษ
โดยวิชาที่สอนนี้กล่าวถึงแผ่นดินแถบลุ่มแม่น้ำเทมส์และกิจกรรมต่างๆของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นแผ่นดินนั้น
เป็นการนำเอาเนื้อหาของวิชาต่างๆ หลายวิชามาศึกษาในเวลาเดียวกัน
สหรัฐอเมริกาเริ่มนำเอาหลักสูตรนี้มาใช้ครั้งแรกเมื่อปี
ค.ศ. 1914 จัดทำเป็นวิชากว้างๆ
เรียกว่าสถาบันสังคมและเศรษฐกิจ
ประเทศไทยได้นำหลักสูตรมาใช้ครั้งแรกเมื่อ
พ.ศ. 2503 โดยเรียงลำดับเนื้อหาต่างๆที่มีความคล้ายคลึงกันไว้ในหลักสูตรและให้ชื่อวิชาเสียใหม่ให้มีความหมายกว้าง
ครอบคลุมวิชาที่นำมาเรียงลำดับไว้
ลักษณะสำคัญของหลักสูตร
1. จุดหมายของหลักสูตรมีความกว้างขวางกว่าหลักสูตรรายวิชา
2. จุดประสงค์ของแต่ละหมวดวิชา
เป็นจุดประสงค์ร่วมกันของวิชาต่างๆ ที่นำมารวมกันไว้
3. โครงสร้างหลักสูตรมีลักษณะเป็นการนำเอาเนื้อหาของแต่ละวิชาซึ่งได้เลือกสรรแล้วมาเรียงลำดับกันเข้า
ส่วนดีส่วนเสียของหลักสูตร
ส่วนดี
- ในการสอน ทั้งผู้เรียนและผู้สอนเกิดความเข้าใจและมีทัศนคติเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนกว้างขึ้น
- เป็นหลักสูตรที่ส่งเสริมให้มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้อย่างกว้างขวาง
เป็นการเอื้ออำนวยต่อการจัดกิจกรรม ที่มีประโยชน์ในชีวิตประจำวัน
- เป็นหลักสูตรที่ทำให้วิชาต่างๆที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันมีความสัมพันธ์กันดีขึ้น
ส่วนเสีย
- ลักษณะของหลักสูตรทำให้การเรียนการสอนไม่ส่งเสริมให้เกิดความรู้เนื้อหาอย่างลึกซึ้ง
เข้าทำนองรู้รอบมากกว่ารู้สึก
- การสอนอาจไม่บรรลุจุดประสงค์
เพราะต้องสอนหลายวิชาในขณะเดียวกัน
หลักสูตรประสบการณ์
เริ่มต้นหลักสูตรนี้มีชื่อว่าหลักสูตรกิจกรรม
และเปลี่ยนเป็นหลักสูตรประสบการณ์ในปัจจุบัน เกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาที่ว่าหลักสูตรเดิมที่ใช้อยู่
ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรรายวิชาหรือหลักสูตรกว้าง
ล้วนไม่ส่งเสริมให้ผู้เรียนสนใจและกระตือรือร้นในการเรียนเท่าที่ควร
พัฒนาการ/วิวัฒนาการของหลักสูตร
หลักสูตรประสบการณ์ถูกมาใช้ครั้งแรกที่โรงเรียนทดลองของมหาวิทยาลัยซิคาโก ในปี ค.ศ. 1896 ถ้าจะให้ผู้เรียนสนใจและเกิดความกระตือรือร้นในการเรียนจะต้องอาศัยแรงกระตุ้น 4 อย่างคือ
1. แรงกระตุ้นทางสังคม
2. แรงกระตุ้นทางสร้างสรรค์
3. แรงกระตุ้นทางการค้นคว้าทดลอง
4. แรงกระตุ้นทางการแสดงออกด้วยคำพูด
การกระทำ และทางศิลปะ
ลักษณะสำคัญของหลักสูตร
1. ความสนใจของผู้เรียนเป็นตัวกำหนดเนื้อหาและเค้าโครงหลักสูตร
2. วิชาที่ผู้เรียนทุกคนต้องเรียน
คือวิชาที่ผู้เรียนมีความสนใจเรียนกัน
3. โปรแกรมการสอนไม่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้า
4. ใช้วิธีแก้ปัญหาเป็นหลักใหญ่ในการเรียนการสอน
ปัญหาของหลักสูตรประสบการณ์
1. ปัญหาการกำหนดวิชาในหลักสูตร
หลักสูตรนี้นำเอาแนวความคิดใหม่มาใช้แทนที่จะคิดในรูปแบบของวิชาอย่างหลักสูตรรายวิชา
กับมองความสนใจปัจจุบันของผู้เรียนเป็นหลักการกำหนดเนื้อหาจึงทำได้ยาก
2. ปัญหาการจัดแบ่งวิชาเรียนในชั้นต่างๆ
ไม่สามารถสร้างความต่อเนื่องของเนื้อหาวิชาระหว่างชั้นเรียนได้และบางทีก็มีการจัดกิจกรรมซ้ำๆกันทุกปี
ได้มีการแก้ไขโดยการจัดทำตารางสอนของแต่ละปีขึ้น
แต่ก็ไม่ได้ผลเพราะตารางสอนเหล่านั้นเป็นเรื่องของเก่าไม่ได้ชี้ชัดลงไปว่าในปีใหม่
ควรทำอะไรกัน
หลักสูตรรายวิชา
เป็นหลักสูตรที่ใช้กันมาตั้งแต่ดั้งเดิม
โดยโครงสร้างเนื้อหาวิชาในหลักสูตร จะถูกแยกออกจากกันเป็นรายวิชาโดยไม่จำเป็นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกัน
ไม่ว่าในด้านเนื้อหาหรือการสอน หลักสูตรของไทยเราที่ยังเป็นหลักสูตรรายวิชา ได้แก่
หลักสูตรมัธยมและอุดมศึกษา
ลักษณะสำคัญของหลักสูตร
1. จุดมุ่งหมายของหลักสูตร
มุ่งส่งเสริมพัฒนาการของผู้เรียนโดยใช้วิชาต่างๆเป็นเครื่องมือ
2. จุดมุ่งหมายของหลักสูตรอาจมีส่วนสัมพันธ์กับสังคมหรือไม่ก็ได้
และโดยทั่วไปหลักสูตรนี้ไม่คำนึงถึงผลที่เกิดแก่สังคมเท่าใดนัก
3. จุดประสงค์ของแต่ละวิชาในหลักสูตรเน้นการถ่ายทอดเนื้อหาวิชาเพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้และลักษณะในวิชานั้นๆ
เป็นสำคัญ
4. โครงสร้างของเนื้อหาวิชาประกอบด้วยเนื้อหาของแต่ละวิชาที่เป็นเอกเทศไม่เกี่ยวข้องกับวิชาอื่น
และถูกจัดไว้อย่างมีระบบเป็นขั้นตอนเพื่อสะดวกแก่การเรียนการสอน
5. 5. กิจกรมการเรียนการสอนเน้นเรื่องการถ่ายทอดความรู้
ด้วยการมุ่งให้ผู้เรียนจำเนื้อหาวิชา
6. 6. การประเมินผลการเรียนรู้
มุ่งในเรื่องความรู้ละทักษะในวิชาต่างๆที่ได้เรียนมา
ส่วนดีส่วนเสียของหลักสูตร
ส่วนดี
- จุดมุ่งหมายของหลักสูตรช่วยให้เนื้อหาวิชาเป็นไปโดยง่าย
- เนื้อหาวิชาจะถูกจัดไว้ตามลำดับขั้นอย่างมีระบบเป็นการง่ายและทุ่นเวลาในการเรียนการสอน
- การจัดเนื้อหาวิชาอย่างมีระบบทำให้การเรียนรู้เนื้อหาวิชาดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
- การประเมินผลการเรียนทำได้ง่าย
ส่วนเสีย
- หลักสูตรแบบนี้ทำให้ผู้สอนละเลยการเรียนรู้อื่นๆ
ที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เรียนเนื้อหา
- หลักสูตรนี้มักจะละเลยความสนใจของผู้เรียนด้วยเหตุผลที่ว่ายึดหลักเหตุผลด้านเนื้อหาสาระของวิชาเกณฑ์โดยไม่คำนึงถึงหลักจิตวิทยา
- หลักสูตรเน้นการถ่ายทอดความรู้เนื้อหาที่กำหนดไว้จึงมักละเลยต่อสภาพและปัญหาของสังคมและท้องถิ่นทำให้เกิดการเรียนรู้ที่ไม่สามรถนำไปประยุกต์ใช้ในสังคมได้
การปรับปรุงหลักสูตร
1. จัดเรียงลำดับเนื้อหาให้ต่อเนื่องกัน
คือจัดเนื้อหาที่อยู่ในชั้นเดียวกันหรือระหว่างชั้นให้ต่อเนื่องกัน
โดยรักษาความเป็นวิชาของแต่ละวิชาไว้ การจัดมีอยู่ 2 แบบคือ
- จัดให้ต่อเนื่องตามแนวนอน
คือการจัดเนื้อหาของวิชาหนึ่งให้สัมพันธ์หรือต่อเนื่องกับของอีกวิชาหนึ่งซึ่งอยู่ในชั้นเดียวกัน
- จัดให้ต่อเนื่องในแนวตั้ง
คือ การจัดเนื้อหาที่อยู่ต่างชั้นกัน
2. จัดโดยการเชื่อมโยงเนื้อหาเข้าด้วยกัน
คือจัดเนื้อหาของแต่ละวิชาให้เชื่อมโยงกัน ในลักษณะที่ส่งเสริมซึ่งกันและกันทำได้ 2 ระดับ คือ
- ระดับความคิด
คือการพัฒนาความสามรถทางปัญญา อันได้แก่ความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ
เจตคติและความพึงพอใจ
- ระดับโครงสร้าง
คือ การจัดให้เนื้อหาในแต่ละวิชาเอื้อประโยชน์แต่กันและกัน
อีกทั้งยังเกิดประโยชน์ต่อวิชาอื่นๆด้วย
หลักสูตรแกน
เป็นหลักสูตรที่พยายามจะปลีกตัวออกจากการเรียนที่ต้องแบ่งแยกวิชาออกเป็นรายวิชาย่อยๆ
และเพื่อที่จะดึงเอาความต้องการ และปัญหาของสังคมมาเป็นศูนย์กลางของหลักสูตร
พัฒนาการ/วิวัฒนาการของหลักสูตร เริ่มจากการใช้วิชาเป็นแกนกลาง
โดยเชื่อมเนื้อหาของวิชาที่สามารถนำมาสัมพันธ์กันได้ เข้าด้วยกัน
แล้วกำหนดหัวข้อขึ้นให้มีลักษณะเหมือนเป็นวิชาใหม่เช่น
นำเอาเนื้อหาของวิชาชีววิทยา สังคมศึกษา และสุขศึกษามาเชื่อมโยงกันภายใต้หัวข้อ “สุขภาพละอนามัยของท้องถิ่น” โดยหลักสูตรแกนคือหลักสูตรที่ผู้เรียนทุกคนต้องเรียน
และเป็นหลักสูตรที่เน้นให้เรื่องปัญหาสังคมและค่านิยมของสังคม
โดยมีกำหนดเค้าโครงของสิ่งที่จะสอนไว้อย่างชัดเจน
หลักสูตรแกนในเอเชีย
ประเทศในภูมิภาคเอเชียที่ใช้หลักสูตรแกนอยู่ในปัจจุบันนี้มีหลายปะเทศ
เช่นจีน อินเดีย อินโดนีเซีย เนปาล ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา ไทย เวียดนาม ออสเตรเลีย
ญี่ปุ่น และนิวซีแลนด์
เพื่อช่วยให้มองเห็นภาพของหลักสูตรแกนของประเทศต่างๆในเอเชียชัดเจนยิ่งขึ้นขอนำเอาสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องมาสรุปเปรียบเทียบให้เห็นดังต่อไปนี้
- ระดับการผสมผสานวิชาในหลักสูตร
ที่มีการผสมผสานกันอย่างมากมาย ได้แก่ หลักสูตรของประเทศศรีลงกา ไทย เวียดนาม
และนิวซีแลนด์ ผสมผสานระดับปานกลาง ไดแก่ ของจีน อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย
ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ส่วนหลักสูตรของเนปาลนั้นมีการผสมผสากันน้อยมาก
ข้อสรุปเกี่ยวกับหลักสูตรแกน
หลักสูตรแกน
เป็นหลักสูตรที่บังคับให้ทุกคนต้องเรียน อาจเป็นหนึ่งของหลักสูตรของแม่บท
หรือเป็นตัวหลักสูตรแม่บทก็ได้ จุดเน้นของหลักสูตร จะอยู่ที่วิชาหรือสังคมก็ได้
ส่วนใหญ่จะเน้นสังคม โดยยึดหน้าที่ของบุคคลในสังคมหรือปัญหาของสังคม
หรือการสร้างเสริมสังคมเป็นหลัก
หลักสูตรแฝง
เป็นหลักสูตรที่ไม่ได้กำหนดแผนการเรียนรู้เอาไว้ล่วงหน้า
และเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่โรงเรียนไม่ได้ตั้งใจจะจัดให้
หลักสูตรแฝงกับพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านจิตพิสัย
โดยทั่วไปโรงเรียนจะประสบความสำเร็จมากในการสอนให้เกิดการเรียนรู้
ทางด้านพุทธิพิสัย และทักษะพิสัย ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
มีการสอนและการประเมินผลที่จัดให้เกิดความสอดคล้องกันได้ง่าย และกระทำได้ง่าย
แต่โรงเรียนจะมีปัญหาในการสอนนักเรียนให้เกิดการเรียนรู้ทางด้ายจิตพิสัย
เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้โดยการบรรยาย
เด็กจะเรียนรู้สิ่งเหล่านี้จากตัวอย่างและการกระทำของผู้ใหญ่
และผู้อยู่ใกล้ชิดมากกว่า
หลักสูตรแฝงจะช่วยให้ครู
และนักการศึกษาได้แง่คิด และเข้าใจสัจธรรมเกี่ยวกับการเรียนรู้ในเรื่องเจตคติ
ค่านิยม พฤติกรรม คุณธรรม และจริยธรรมของนักเรียน
โรงเรียนจึงไม่ควรเน้นและทุ่มเทในด้านการสอนสิ่งเหล่านี้
ตามตัวหลักสูตรปกติมากจนเกินไป หรือเกินความจำเป็น
แต่ให้เพิ่มความสนใจแก่หลักสูตรแฝงมากขึ้น
หลักสูตรสัมพันธ์วิชา
เป็นหลักสูตรรายวิชาที่ได้รับการปรับปรุงเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ
การแก้ไขข้อบกพร่องทำโดยการนำเอาเทคนิค การสอนใหม่ๆมาใช้
เช่นให้ผู้เรียนร่วมในการวางแผนการเรียน และให้ผู้เรียน ทำกิจกรรมต่างๆ
นอกเหนือจากการท่องจำ เพื่อให้ผู้เรียน รู้เนื้อห้าที่ต้องการ
สำหรับวิธีการที่ใช้ในการสัมพันธ์วิชามีอยู่ 3 วิธี ได้แก่
1. สัมพันธ์ในข้อเท็จจริง
คือใช้ข้อเท็จจริงของวิชาส่วนหนึ่งมาช่วยประกอบการสอนอีกวิชาหนึ่ง
2. สัมพันธ์ในหลักเกณฑ์
เป็นการนำเอาหลักเกณฑ์หรือแนวความคิดของวิชาหนึ่งไปใช้อธิบายเรื่องราว หรือแนวความคิดของอีกวิชาหนึ่ง
3. สัมพันธ์ในแง่ศีลธรรม
และหลักปฏิบัติในสังคม วิธีนี้คล้ายวิธีที่สองแค่แตกต่างกันที่ว่า
แทนที่จะใช้หลักเกณฑ์หรือแนวความคิดเป็นตัวเชื่อมโยง กลับใช้หลักศีลธรรม
และหลักปฏิบัติของสังคมเป็นเครื่องอ้างอิง
หลักสูตรสัมพันธ์วิชา ช่วยให้ผู้เรียนมีความสนใจในสิ่งที่เรียนมากขึ้น
ทำให้ผู้เรียนมองโปรแกรมในการเรียนมากขึ้น และกว้างขวางกว่าเดิม
และเปิดทางให้สามารถขยายงานด้านตำราเรียนได้กว้างขวางขึ้น
แต่ก็ยังมีข้อบกพร่องที่แก้ไม่ได้ คือ
รูปแบบของหลักสูตรยังคงเป็นหลักสูตรรายวิชาอยู่นั่นเอง
หลักสูตรเกลียวสว่าน
เป็นการจัดเนื้อหา
หรือหัวข้อเนื้อหาเดียวกันในทุกระดับชั้น
แต่มีความยากง่ายและความลึกซึ้งแตกต่างกัน กล่าวคือ
ในชั้นต้นๆจะสอนในเรื่องง่ายๆและค่อยเพิ่มความยาก
และความลึกลงไปตามระดับชั้นที่สูงขึ้นไป
ที่มาของแนวความคิดเรื่องหลักสูตรเกลียวสว่าน
บรูเนอร์
มีความเชื่อว่าในเนื้อหาของแต่ละเนื้อหาวิชาจะมีโครงสร้าง
และการจัดระบบที่แน่นอนจึงควรนำความจริงในข้อนี้มาใช้กับการจัดหลักสูตรโดยการจัดลำดับเนื้อหาให้ก้าวหน้าไปเรื่อยๆอย่างมีระบบจากง่ายไปหายาก
จากแนวความคิดนี้จึงมีการพัฒนาหลักสูตรในลักษณะบันไดวนหรือเกลียวสว่าน
คือให้ลึกและกว้างออกไปเรื่อยๆ ตามอายุและพัฒนาการของเด็ก
หลักสูตรเกลียวสว่านตามแนวคิดของดิวอี้
ดิวอี้มีความเชื่อว่า
การเจริญงอกงามขึ้นอยู่กับการฝึกใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหาที่ได้มาจากประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียนมากกว่าจากปัญหาที่กำหนดให้จากภายนอก
และในขณะที่ผู้เรียนฝึกใช้สติปัญญาจากการแก้ปัญหาเหล่านี้
เขาจะได้ความคิดใหม่ๆจากการทำงาน
หลักสูตรสูญ
เป็นชื่อประเภทของหลักสูตรที่ไม่แพร่หลายและไม่เป็นที่รู้จักกันมากนัก
โดยไอส์เนอร์ เขาได้อธิบายถึงความเชื่อของเขาในเรื่องนี้ว่า
เป็นหลักสูตรที่ไม่ได้มีปรากฏอยู่ให้เห็นในแผนการเรียนรู้
และเป็นสิ่งที่ในโรงเรียนไม่ได้สอน
ประเด็นที่ควรพิจารณา
ในการกำหนดหลักสูตรสูญขึ้นมานั้นมีสิ่งที่ต้องนำมาพิจารณาอยู่ 2 ประเด็นคือ
1.กระบวนการทางปัญญา
ที่โรงเรียนเน้นและละเลย เป็นกระบวนการทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับการรู้
โดยเริ่มจากการรับรูสิ่งต่างๆ ไปจนคิดหาเหตุผลทุกรูปแบบ
2.
เนื้อหาสาระที่มีอยู่และที่ขาดหายไปจากหลักสูตร การนำความคิดของหลักสูตรสูญ
ไปใช้ในการพัฒนาหลักสูตร
เมื่อจะพิจารณาว่ามีกระบวนการใด
หรือเนื้อหาใดขาดไปจากหลักสูตร ก็จะต้องมีการกำหนดกรอบที่เป็นกลางๆเอาไว้อ้างอิง
ถ้าหากหลักสูตรไม่ได้ครอบคลุมถึงสิ่งที่เป็นเนื้อหากลางๆที่มีความสำคัญและจำเป็นต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนหลักสูตรเหล่านั้นก็จะด้อยคุณค่าทันที
จากตัวอย่างการพิจารณา นำวิชาตรรกวิทยามาบรรจุในหลักสูตรอนุบาลนั้น
ต้องถือว่าต้องถือว่าหลักสูตรสากลของอนุบาลศึกษา จะต้องไม่มีการเรียนวิชาตรรกวิทยา
สรุป
ความคิดเกี่ยวกับ “ประเภทของหลักสูตร” ที่กล่าวมานี้
จะมีประโยชน์ต่อการประเมินผล และการวิเคราะห์หลักสูตร
เป็นการช่วยให้นักพัฒนาหลักสูตรได้หันมาพิจารณาหลักสูตรให้ครบอีกครั้งว่า
จุดหมายและเนื้อหาของหลักสูตรที่กำหนดไว้แล้วนั้นเหมาะสมแล้วหรือยัง
มีเนื้อหาในกระบวนการคิด และความรู้สึกประเภทใดที่เป็นประโยชน์
และสำคัญควรที่ผู้เรียนรู้ แต่ไม่มีในหลักสูตรก็จะได้ประชุมหารือกันระหว่าง
นักพัฒนาหลักสูตร และผู้รับผิดชอบ เพื่อจะได้ปรับปรุงแก้ไขต่อไป
ปฏิบัติการ : การออกแบบหลักสูตร (Curriculum Design)
การออกแบบหลักสูตรอาศัยแนวคิดจากคำถามข้อที่ 2 ของไทเลอร์
คือ
การเลือกประสบการณ์การเรียนรู้อย่างไรที่ช่วยให้ผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ (Tyler, 1969)
การออกแบบหลักสูตร
คือ การตัดสินใจเกี่ยวกับรูปร่างหรือการจัดเค้าโครงในการวางแผนพัฒนาหลักสูตร
การออกแบบหลักสูตรจะเกี่ยวข้องกับการกำหนดจุดมุ่งหมายและจุดประสงค์ของหลักสูตร
อันจะนำไปสู่การจัดโครงสร้างเนื้อหาสาระ ช่วยให้ครูเลือกและจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้เหมาะสมซึ่งจะเกี่ยวข้องกับภาระงาน 4 เรื่อง คือ
จุดประสงค์ เนื้อหาสาระ ประสบการณ์การเรียนรู้การสอน และการประเมิน
การออกแบบหลักสูตรที่แตกต่างกันให้คุณภาพที่หลากหลายทั้งความรู้และประสบการณ์
การออกแบบหลักสูตรต้องพิจารณาเรื่องเศรษฐกิจเป็นอันดับแรกและความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติของการจัดการสอน
การจัดโครงสร้างเนื้อหาสาระและงานที่มอบหมาย เรื่องของเวลาและการจัดสรรทรัพยากร
จะต้องตอบให้ได้ว่าผู้เรียนจะเรียนอะไร จะจัดโครงสร้างที่เรียนอย่างไร
หลักสูตรจะแสดงในรูปแบบใดและจะจัดโครงสร้างอย่างไร ผู้ออกแบบหลักสูตรต้องตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้
หลักสูตรโดยทั่วไปถูกออกแบบตามสาขาวิชา (Discipline)เช่น
วิศวกรรมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรือออกแบบตามขอบข่ายเนื้อหาสาระ (Field) เช่น ศิลปะ
หน้าที่พลเมือง
สังคมศึกษา
หรือออกแบบเป็นหน่วย (Unit) เช่น หน่วยดนตรีแจ๊ส หน่วยสื่อสารมวลชน
หรือออกแบบตามศูนย์กลางการจัดระเบียบ (Organizing Centers) เช่น
กระบวนการ โครงการ ภาระงาน หรือออกแบบตามการติดตามความสนใจ (Personal Persuits) เช่น
ชมรมแอร์โรบิก ชมรมประกอบอาหาร
ออร์นสไตน์และฮันกิน (Ornstein and Hunkins, 1998) ได้สรุปการจัดกลุ่มแนวคิดการออกแบบหลักสูตรไว้ 3 กลุ่ม ได้แก่
1. การออกแบบหลักสูตรที่เน้นเนื้อหาวิชา (Subject-centered Design) ซึ่งอาศัยแนวคิดปรัชญา
การศึกษาที่สำคัญ คือสารัตถะนิยมและนิรัตรนิยมเป็นหลัก ได้แก่
หลักสูตรแบบรายวิชา (Subject Design)หลักสูตรแบบสาขาวิชา(Discipline Design) หลักสูตรแบบหมวดวิชา (Broad Fields Design) หลักสูตรสัมพันธ์วิชา (Correlation Design) และ
หลักสูตรเน้นกระบวนการ (Process Design)
2. การออกแบบหลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (Learner-centered Design) เป็นหลักสูตรที่มอง
ประโยชน์ของผู้เรียนโดยคำนึงถึงความต้องการและความสนใจของผู้เรียน
ได้แก่ หลักสูตรเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (Child-centered Design) หลักสูตรเน้นประสบการณ์ (Experience-centered Design) หลักสูตรแบบจิตนิยม (Romantic/ Radical Design) และ
หลักสูตรมนุษยนิยม (Humanistic Design)
3. การออกแบบหลักสูตรที่เน้นปัญหาสังคมเป็นสำคัญ(Problem-centered Design) เป็นหลักสูตร
ที่มุ่งเน้นภาระหน้าที่ ชีวิตภายในสังคม สถานการณ์ในสังคม
เน้นสภาพของสังคม
ปัญหาสังคมเป็นหลัก ได้แก่ หลักสูตรเน้นสถานการณ์ของชีวิต (Life-situation Design) หลักสูตรแกนกลาง(Core Design) และหลักสูตรเน้นปัญหาและปฏิรูปสังคม (Social Problems and
Reconstructionist Design)
การออกแบบหลักสูตรตามแนวคิดของปริ้นส์ ลาลวานี(Princess Lalwani, 2012)
1. การออกแบบหลักสูตรที่เน้นเนื้อหาสาระเป็นสำคัญ(Subject-centered Curriculum Design)
มุ่งเน้นเนื้อหาสาระเป็นฐาน
ให้ความสำคัญกับการจัดการในเนื้อหาสาระที่เกี่ยวข้องทั้งกระบวนการ
กลยุทธ์และทักษะชีวิต เช่น การแก้ปัญหา การตัดสินใจหรือทีมงาน
2. การออกแบบหลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (Learner-centered Curriculum Design) มี
สาระสำคัญอยู่ที่ความคาดหวังเกี่ยวกับผู้เรียนที่จะได้สำรวจความต้องการในชีวิตของตนเอง
ครอบครัว หรือสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น ผู้เรียนจะไม่ถูกกำหนดให้เป็นผู้กระทำ
แต่จะได้รับการสนับสนุนให้เรียนรู้โดยการมีปฎิสัมพันธ์กับผู้สอนและสิ่งแวดล้อม การให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของผู้เรียน
ได้เรียนรู้แบบเปิดและเป็นอิสระ โดยเลือกกิจกรรมจากครูจัดให้หลากหลาย
3. การออกแบบหลักสูตรที่ให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์ของผู้เรียน (Learner-centered
Curriculum Humanistic Design) การเรียนรู้ในอุดมคติของของมนุษย์เกี่ยวข้องกับความคิด
ความรู้สึกและการกระทำ แนวคิดในการพัฒนาตนเองในทางบวก (Positive self-concept) และทักษะระหว่างบุคคล (Interpersonal skills)
4. การออกแบบหลักสูตรแบบปัญหาเป็นฐาน (Problem-centered Curriculum Design) เป็น
การสนับสนุนชีวิตจริงของผู้เรียน
เพราะต้องเสาะแสวงหาความรู้และแก้ปัญหา ปัญหาต่าง
ๆเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในชีวิตจริง
โดยการฝึกการแก้ปัญหาในโรงเรียนด้วยการเลือกประเด็นปัญหาในเชิงปรัชญาหรือเชิงจริยธรรมในแต่ละท้องถิ่น
5. การออกแบบหลักสูตรตามกระบวนการการพัฒนาหลักสูตร (Curriculum Development
Models Design) มีทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการสอนและการเรียนรู้
หลักสูตรแบบนี้ให้ความสำคัญกับจุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ของหลักสูตร
เป็นการออกแบบโดยกลุ่มนักวางแผนการศึกษา
มีการตัดสินใจที่มาจากฝ่ายการเมืองและกลุ่มตัวแทนสังคมต่าง ๆ
แนวคิดการออกแบบหลักสูตรมีดังนี้
5.1 การออกแบบหลักสูตรกลุ่ม (Deductive Models) ให้ความสำคัญกับการกำหนดจุดมุ่งหมายของ
การศึกษาและการระบุวัตถุประสงค์เฉพาะที่แสดงความสำเร็จ
ไทเลอร์กล่าวว่าการออกแบบหลักสูตรด้วยธรรมชาติและโครงสร้างความรู้ต้องมุ่งตอบสนองความต้องการจำเป็นของผู้เรียน
5.2 การออกแบบหลักสูตรกลุ่ม (Inductive Models)เป็นการออกแบบตามแนวคิดของทาบาซึ่งเชื่อ
ว่าผู้สอนจะต้องเป็นผู้เริ่มต้นกระบวนการด้วยการสร้างหน่วยการเรียนการสอนสำหรับผู้เรียนในโรงเรียนด้วยตนเอง
หลักการออกแบบหลักสูตรของมหาวิทยาลัยกริฟฟิธ(Griffith University)
สถาบันการศึกษาควรจัดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ให้สัมพันธ์กับกิจกรรมการสอนซึ่งจะมีผลการเรียนรู้ทางบวก
ทำให้ผู้เรียนเกิดทักษะ ความรู้ เจตคติและพฤติกรรม มีหลักการดังต่อไปนี้
1.สร้างประสบการณ์ที่ผู้เรียนมีส่วนร่วม
มีแรงจูงใจและมีแรงกระตุ้นทางปัญญา
2. ส่งเสริมการสืบค้นและตั้งคำถามอย่างมีวิจารณญาณและส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์
3. เน้นการเชื่อมโยง
การบูรณาการทฤษฎีและองค์ความรู้ด้วยการปฏิบัติอย่างมืออาชีพเพื่อนำไปแก้ปัญหาในชีวิตจริง
4. ให้ประสบการณ์ที่พัฒนาความสามารถระหว่างวัฒนธรรม
สังคมของนักเรียนที่แตกต่างและการตอบสนองทางจริยธรรมของสังคมโลก
5. ให้ความสำคัญกับคุณค่า
ความทรงจำและวัฒนธรรมที่หลากหลายของบุคคล
6. เพิ่มการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ของผู้เรียน
7. การปรับปรุงการสอนอย่างต่อเนื่อง
การออกแบบหลักสูตรของสก็อตแลนด์
หลักการพื้นฐาน 7 ประการ
ซึ่งต้องคำนึงถึงความแตกต่างของผู้เรียนและการพัฒนาการของแต่ละคน
1. กระตุ้นความท้าทายและความพอใจ (Challenge and enjoyment)โดยผู้เรียนจะได้รับ
ประสบการณ์ที่หลากหลายอย่างเหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละคน
ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง ได้พัฒนาและแสดงความคิดสร้างสรรค์
2. ขยายขอบเขตความรู้ (Breadth) ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ในการเรียนรู้อย่างกว้างขวางและ
เหมาะสมภายใต้บริบททั้งภายในชั้นเรียนและบรรยากาศของโรงเรียน
3. ความก้าวหน้า (Progression) ผู้เรียนจะมีอัตราความก้าวหน้าที่เป็นไปตามความต้องการและ
ความถนัด
4. ความคิดลึกซึ้ง (Depth) ให้ผู้เรียนพัฒนาความสามารถตามความแตกต่างและการคิดของแต่ละ
คน
5. บุคลิกภาพและทางเลือก (Personalisation and choice)หลักสูตรต้องตอบสนองความต้องการ
จำเป็นของบุคคล โดยเฉพาะและความเป็นเลิศของผู้เรียน
6. การเชื่อมโยง (Coherence) กิจกรรมการเรียนรู้จะต้องเชื่อมโยงกับประสบการณ์ของผู้เรียน
7. ความสัมพันธ์ (Relevance) ผู้เรียนต้องเข้าใจจุดมุ่งหมายของกิจกรรม
โดยเห็นคุณค่าในการ
เรียนรู้และความสัมพันธ์กับชีวิตของผู้เรียนทั้งในปัจจุบันและในอนาคต
การออกแบบหลักสูตรรายวิชา
เวสมินส์เตอร์
เอ็กเชงจ์
มหาวิทยาลัยเวสมินส์เตอร์ให้ข้อเสนอแนะในการออกแบบหลักสูตรรายวิชาโดการตอบคำถามต่อไปนี้
1. ผู้ออกแบบคาดหวังว่าอะไรที่จะช่วยให้หลักสูตรนี้ประสบความสำเร็จ
2. สถาบันการศึกษาหรือสิ่งแวดล้อมภายนอกอะไรบ้างที่มีอิทธิพลต่อหลักสูตรรายวิชา
3. การประกันคุณภาพมีความสัมพันธ์กับหลักสูตรอย่างไร
4. อะไรเป็นแบบจำลองที่ตรงกับความประสงค์ในการออกแบบหลักสูตร
5. อะไรเป็นจุดหมายและผลการเรียนรู้ของหลักสูตร
6. ประเมินผลการเรียนรู้ที่คาดหวังอย่างไร
7. อะไรเป็นกลยุทธ์ในการเรียนรู้
การสอนและการประเมิน
8. จะต้องปรับพื้นฐานความรู้ก่อนที่จะเรียนรายวิชาหรือไม่
9. จะส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างไร
จะวางแผนการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรอย่างไร
10. หลักสูตรจะพัฒนาผู้เรียนที่มีความหลากหลายหรือไม่
การออกแบบหลักสูตร : การเลือกประสบการณ์ในการเรียนรู้
ออร์นสไตน์และฮันกิน (1998) กล่าวว่าการออกแบบหลักสูตรมีสิ่งที่เกี่ยวข้อง 4 องค์ประกอบ
ได้แก่ วัตถุประสงค์ เนื้อหาสาระ ประสบการณ์การเรียนรู้
และการประเมินผลการเรียนรู้
ฮาเด็น (Harden, 1986) ได้นำแนวคิดว่า
ผลการเรียนรู้เป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญในการวางแผนหลักสูตร
แนวคิดนี้ยังปรากฏในงานของบลูม (1956) ซึ่งเขาได้กำหนดวัตถุประสงค์ของการศึกษาเป็น 3
ปริเขต ได้แก่ ปริเขตพุทธพิสัย (Cognitive Domain) เป็นวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับความรู้
ปริเขตจิตพิสัย(Affective Domain) เป็นวัตถุประสงค์เกี่ยวกับทัศนคติ
และปริเขตทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) เป็นวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับทักษะเคลื่อนไหว
ปริเขตพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) อนันต์
ศรีโสภา(2520) สรุปไว้ว่าตามแนวคิดของบลูมและคณะ
จุดมุ่งหมายด้านนี้จำแนกออกเป็นพฤติกรรมย่อย ๆ 6 ชั้นซึ่งเรียงจากง่ายไปยากดังนี้
1. ความรู้ (Knowledge) ซึ่งแบ่งเป็น
ความรู้เกี่ยวกับเนื้อหาวิชาโดยเฉพาะ ความรู้เกี่ยวกับวิธีและการดำเนินงานที่เกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยเฉพาะหรือความรู้ที่เกี่ยวกับการรวบรวมแนวคิดและโครงสร้างของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
2. ความเข้าใจ (Comprehension) ได้แก
การแปลความ การตีความ การขยายความ
3. การนำไปใช้ (Application) นำสาระสำคัญต่าง
ๆไปใช้ในสถานการณ์จริง
4. การวิเคราะห์ (Analysis) คือการแยกเรื่องราวเป็นส่วนย่อย
ๆ
5. การสังเคราะห์ (Synthesis) การรวมส่วนประกอบต่าง
ๆเข้าด้วยกัน
6. การประเมินค่า (Evaluation) การตัดสินคุณค่า
การประเมินค่าโดยอาศัยข้อเท็จจริงภายในและภายนอกมาเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา
บลูมและคณะได้แบ่งความคิดออกเป็นระดับต่ำและระดับสูง ดังนี้
ความคิดระดับต่ำ 3 ระดับ ได้แก่
ระดับ 1 : ความรู้ (ระลึกและสามารถเรียกข้อมูลกลับ)
ระดับ 2 : ความเข้าใจ (แปลความหมายและการแสดงออกว่ามีความเข้าใจ)
ระดับ 3 : การนำไปใช้ (การประยุกต์ใช้ความรู้ในสถานการณ์ใหม่)
ความคิดระดับสูง 3 ระดับ ได้แก่
ระดับ 1 : การวิเคราะห์ (ระบุความสัมพันธ์และเหตุจูงใจ)
ระดับ 2 : การสังเคราะห์ (เชื่อมโยงข้อเท็จจริงด้วยเหตุผลหรือในรูปแบบใหม่)
ระดับ 3 : การประเมิน (ใช้เกณฑ์และสถานการณ์เพื่อวินิจฉัยและการตัดสินผล)
ปริเขตจิตพิสัย (Affective Domain) บลูมและแครทโฮล
แบ่งจิตพิสัยเป็นลำดับดังนี้
1. การรับรู้ (Receiving or attending) การยอมรับหรือเอาใจใส่ต่อสิ่งเร้า
เช่น ความตั้งใจเรียน การ
ฟังอย่างตั้งใจ การรับรู้จำแนกเป็นพฤติกรรมย่อย ได้แก่ การรู้ตัว
(ไม่อยู่ในสภาพใจลอย) การเต็มใจ (ไม่หลีกเลี่ยง)
และการควบคุมหรือคัดเลือกการรับรู้ (การควบคุมสมาธิ การติดตามสังเกต)
2. การตอบสนอง (Responding) การแสดงออกด้วยความสนใจ
ความเต็มใจในสิ่งเร้า เต็มใจที่จะมี
ส่วนร่วม เช่น เต็มใจอ่านหนังสือหรือการทำกิจกรรมต่าง ๆ
การตอบสนองจำแนกเป็นพฤติกรรมย่อย ๆ ได้แก่ การยอมทำตาม การตอสนองด้วยความยินดี
และการตอบสนองที่มีความพึงพอใจ
3. ค่านิยม (Valuing) ความรู้สึกหรือความสำนึกจนกลายเป็นความเชื่อและทัศนคติ
ค่านิยมจำแนก
เป็นพฤติกรรมย่อย ๆ ได้แก่ การยอมรับในค่านิยม ความรู้สึกชื่นชอบในค่านิยมนั้น
การยึดมั่นในค่านิยมนั้น
4. การจัดระบบ (Organization) ค่านิยมหรือคุณค่า
เน้นคุณค่าทางจิตใจโดยคำนึงถึงความสัมพันธ์
และโครงสร้างของค่านิยม เป็นระดับพฤติกรรมด้านจิตใจที่สูงขึ้น
จำแนกเป็น 2 ข้อย่อย
ได้แก่ การสร้างมโนทัศน์ของคุณค่า คือ การมีความรู้เกี่ยวกับค่านิยม
การมองเห็นความสัมพันธ์ของคุณค่ากับสิ่งที่ตนเองยึดถือ และ
การจัดระบบคุณค่า คือการนำเอาคุณค่ามาจัดเป็นระบบ
5. การสร้างลักษณะนิสัย (Characterization by a value
or value complex) เมื่อแต่ละคน
ค่านิยมใดแล้วก็จะควบคุม ให้บุคคลนั้นแสดงออกเป็นพฤติกรรม จำแนกย่อย ๆ
ได้แก่การมีหลักยึดในการตัดสินใจหรือพิจารณาสิ่งต่าง ๆ
และการแสดงลักษณะนิสัยที่เป็นไปโดยสมบูรณ์
การออกแบบหลักสูตรด้วยแนวคิดวัตถุประสงค์เป็นฐาน(Objective-Based Approach)
ข้อดี
1. วัตถุประสงค์ที่เขียนดีและมีรายละเอียดผลการเรียนรู้จะช่วยให้ผู้สอนและผู้เรียนเห็นภาพ
พฤติกรรมที่คาดหวังชัดเจนเมื่อเรียนจบซึ่งจะช่วยในการจัดทิศทางและเกิดเสถียรภาพในรายวิชา
2. ผลการเรียนรู้ที่ต่อเนื่องชัดเจนหรือการพรรณนาความสามารถช่วยในการปรับวิธีสอนให้บรรลุ
วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
3. ผู้สอนเป็นผู้กำหนดวัตถุประสงค์
ต้องเป็นผู้ตัดสินใจเกี่ยวกับวิธีการประเมินเพราะผู้สอนทราบ
ดีว่าควรประเมินพฤติกรรมใด
พฤติกรรมที่แตกต่างกันต้องใช้การประเมินที่แตกต่างกัน
4. การเขียนรายงานผลการเรียนรู้หรือการพรรณนาความสามารถมีประโยชน์ที่สุดในการพัฒนา
แบบฝึกหัดได้อย่างถูกต้อง
ข้อจำกัด
1. วัตถุประสงค์อาจให้สถานภาพ (Status) มากกว่าที่เป็น
ไม่ควรทำราวกับจุดประสงค์เป็นสิ่ง
ศักดิ์สิทธิ์ (Sacrosanct) แต่มันเป็นการพิจารณาคุณค่าบางส่วนของผู้เรียนคนหนึ่งเท่านั้น
2. การสอนและการเรียนรู้อาจถูกกำหนดมากเกินไปจนทำให้ความคิดริเริ่มชะงัก
3. ผลการเรียนรู้และการพรรณนาความสามารถยากและใช้เวลา
ผู้สอนหลายคนอาจรู้สึกไม่ค่อยมี
เวลาเขียนวัตถุประสงค์หรือผลการเรียนรู้ที่ดี
4. การพัฒนารายวิชาหรือหลักสูตรเป็นกระบวนการวัฎจักรต่อเนื่อง
ทั้งวัตถุประสงค์และผลการ
เรียนรู้ควรมีการทบทวนบ่อย ๆ
หากไม่ได้สะท้อนการตีความที่ถูกต้องของการเน้นและทิศทางของรายวิชาก็ควรเปลี่ยนวัตถุประสงค์และผลการเรียนรู้นั้น
ปริเขตทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) คิบเลอร์ได้จัดลำดับทักษะพิสัยดังต่อไปนี้
1. ระดับการเลียนแบบ
เช่น การคัดลายมือตามตัวอย่าง
2. ระดับการลงมือทำตาม
เช่น การเขียนแบบ การวาดรูป
3. ระดับความแม่นยำ
เช่น การฝึกพิมพ์ดีดให้เร็วและถูกต้อง
4. ระดับความต่อเนื่อง
เช่น การขับรถยนต์
5. ระดับการกระทำจนเคยชิน
เช่น การซ่อมมอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
โดยสรุป ประเภทของวัตถุประสงค์และผลการเรียนรู้มี 5 ประเด็น
ดังนี้
1. ความคิดระดับต่ำ
(ความรู้ ความจำ ความเข้าใจ)
2. ความคิดระดับสูง
(การประยุกต์ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมิน)
3. จิตพิสัย
(การรวมวัตถุประสงค์ทั้งหมดและผลการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึก ทัศนคติและ
คุณค่า)
4. ทักษะ
(การรวมวัตถุประสงค์ทั้งหมดและผลการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับทักษะ ความคล่องแคล่ว
ในการทำงานด้วยตนเอง การประสานงานของมือและตา ความสามารถในการฝึก)
5. ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
ครอบคลุมทักษะชีวิตที่หลากหลายที่ไม่มีใน 3 ปริเขตตามแนวคิด
ของบลูม
รวมทั้งวัตถุประสงค์ทั้งหมดและผลการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสาร(การเขียนและการพูด)
การฟัง การทำงานเป็นทีม การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น การแสดงภาวะผู้นำ
2.ศึกษาทำความเช้าใจเพิ่มเติมจาก
สุเทพ อ่วมเจริญ การพัฒนาหลักสูตร:
ทฤษฎีและการปฏิบัติ การพัฒนาหลักสูตรการ: ออกแบบหลักสูตร
คำสำคัญ (Key words)
· หลัก 7
ประการในการออกแบบหลักสูตร (7 principles in curriculum design)
· ทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่
21 (3Rs+7Cs)
· สี่เสาหลักทางการศึกษา (Four Pillars)
· World Class
Education
“ทุกสิ่งโลกนี้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
โลกเปลี่ยนจึงทำให้สังคมเปลี่ยน สังคมเปลี่ยนทักษะที่ใช้ในการดำรงชีวิตของมนุษย์จึงต้องเปลี่ยน
เมื่อทักษะเปลี่ยนมนุษย์จึงต้องเปลี่ยน
เมื่อมนุษย์เปลี่ยนการเรียนรู้ของมนุษย์จึงเปลี่ยนตาม
และเมื่อการเรียนรู้เปลี่ยนแปลงไปการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การเรียน การสอน
จึงต้องเปลี่ยนตาม”
จากคำกล่าวข้างต้นนี้สามารถเป็นคำตอบได้ดีสำหรับคำถามที่ว่า
“เพราะเหตุใดจึงต้องมีการออกแบบหลักสูตร”
ต้องยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งบนโลกล้วนแล้วแต่ส่งผลต่อการเรียนรู้ของมนุษย์ดังนั้นในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในยุคปัจจุบัน
หรือในอนาคตนั้น ครูผู้สอนจะต้องไม่เน้นการสอน แต่ต้องเน้นออกแบบการจัดการเรียนรู้
เน้นการสร้างแรงบันดาลใจ เน้นเป็นโค้ชไม่ใช่ผู้สอน
ครูต้องเรียนรู้ทักษะและทฤษฎีว่าด้วยการเป็นครูอย่างต่อเนื่อง เช่น
ทักษะการวินิจฉัย ทำความรู้จัก ทำความเข้าใจศิษย์ ทักษะการออกแบบการเรียนรู้
ทักษะการเรียนรู้
และสร้างความรู้ใหม่
จึงเป็นที่มาว่าทำไมหลักสูตรจึงต้องมีการออกแบบให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงนั่นเอง
จากการศึกษาในรายวิชาการพัฒนาหลักสูตรพบว่าในกระบวนการพัฒนาหลักสูตร
การออกแบบหลักสูตร(Curriculum Design) เป็นขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการพัฒนาที่มีความสำคัญโดยจากการศึกษารูปแบบโมเดลการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์
(Tyler’s
Model of Curriculum Development) ทำให้ได้ทราบถึงขั้นตอนต่างๆในการจัดทำหลักสูตร
โดยหนึ่งในนั้นมีขั้นตอนในการออกแบบหลักสูตรรวมอยู่ด้วย เบื้องต้นในหัวข้อนี้จะกล่าวถึงแนวคิดสำคัญที่ใช้เป็นหลักยึดในการออกแบบหลักสูตร
ตลอดจนอธิบายถึงกระบวนการพัฒนาหลักสูตรด้วยรูปแบบโมเดลของไทเลอร์ (Tyler’s Model Curriculum
Development)
หลักการสำคัญในการออกแบบหลับสูตร
การออกแบบหลักสูตรนั้นจำเป็นต้องมีหลักการต่างๆขึ้นมาเพื่อรองรับ
เพื่อให้หลักสูตรนั้นเป็นหลักสูตรที่มีประสิทธิภาพ เหมาะกับการนำไปใช้
และเหมาะกับการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา สำหรับหลักการสำคัญสิ่งแรกที่ควรพิจารณาคือ
ความเป็น World Class Education เป็นการจัดการศึกษาเพื่อเป็นไปอย่างสากล
และยังมีหลักการที่ใช้เป็นหลักยึดในการออกแบบหลักสูตรนั้นอื่นๆอีก ได้แก่
1. หลัก 7 ประการในการออกแบบหลักสูตร (7
principles of curriculum design)
เป็นหลักคิดเพื่อการสร้างหลักสูตรที่ดีมีประสิทธิภาพ
โดยได้กล่าวว่าการออกแบบการจัดการเรียนรู้หรือหลักสูตรนั้นต้องประกอบด้วยพื้นฐาน 7 ประการ คือ
· Challenge and enjoyment (ค้นหาศักยภาพและความสุข)
คือ
หลักสูตรต้องได้รับการออกแบบให้นักเรียนได้ค้นหาศักยภาพและกระตุ้นนักเรียนให้มีความสนใจในการเรียนรู้
· Breadths (ความกว้าง)
คือ หลักสูตรที่ดีต้องเปิดกว้างในการเรียนรู้ เพราะการเรียนรู้มีได้หลากหลายแนวทาง
· Progressions (ความก้าวหน้า)
คือ
หลักสูตรต้องออกแบบมาให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาไปสู้ความก้าวหน้าที่ผู้เรียนตั้งเป้าไว้
· Depths (ความลึกซึ้ง)
คือ หลักสูตรต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ใช้ความรู้อย่างลึกซึ้ง ที่สำคัญคือ
หลักสูตรต้องให้โอกาสนักเรียนได้ใช้
· Coherence (ความเกี่ยวข้อง)
คือ หลักสูตรที่ดีต้องมีเนื้อหาและจุดประสงค์ที่สนองกับบริบทที่จะนำหลักสูตรไปใช้
· Relevance (ความสัมพันธ์กัน)
คือ เนื้อหาในหลักสูตรต้องมีความสัมพันธ์สอดคล้องกับจุดประสงค์
· Personalization and choice (ความเป็นเอกลักษณ์และตัวเลือก)
คือ
หลักสูตรที่ดีต้องให้นักเรียนได้ค้นพบเอกลักษณ์ของตนเองและมีทางเลือกในการแสวงหาเอกลักษณ์ของตนเอง
2. ทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 (3Rs+7Cs)
ศ.
น.พ.วิจารณ์ พานิชได้กล่าวถึงการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ว่า
การศึกษาต้องเตรียมคนออกไปเป็นknowledge worker และเป็น learning
person ไม่ว่าจะประกอบสัมมาชีพใด มนุษย์ในศตวรรษที่ 21 ต้องเป็นlearning
person และเป็น knowledge worker แม้แต่ชาวนาหรือเกษตรกรก็ต้องเป็น learning
person และเป็นknowledge worker ดังนั้นทักษะสำคัญที่สุดของศตวรรษที่ 21
จึงเป็นทักษะของการเรียนรู้ (learning skills)
ที่คนทุกคนต้องเรียนรู้ตั้งแต่ชั้นอนุบาลไปจนถึงมหาวิทยาลัย และตลอดชีวิต
ด้วยเหตุนี้ทักษะดังกล่าวจึงเป็นที่สำคัญที่ผู้เรียนพึ่งมีในศตวรรษที่21 ซึ่งหลักสูตรต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีทักษะที่สำคัญและสามารถใช้ชีวิตในสังคมศตวรรษที่21ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยก่อนหน้านี้การศึกษาของเรายึดหลัก 3Rs คือ
เน้นการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียน อ่านออก เขียนได้ และคิดเลขเป็น
และต่อมาจึงได้เพิ่มเติมรวมหลัก 7Cs ที่จำเป็นในศตวรรษที่
21 เข้าด้วยกัน จึงกลายเป็นหลัก 3Rs+7Cs ดังนี้
3Rs
· Reading (อ่านออก)
· Writing (เขียนได้)
· Arithmetic (คิดเลขเป็น)
7Cs
· Critical Thinking & Problem
solving คือ ทักษะในการคิดวิเคราะห์ และการคิดแก้ปัญหา
· Creativity & Innovation คือ ทักษะที่เมื่อคุณคิดวิเคราะห์แล้ว
คุณต้องสร้างสรรค์ได้ หรือสร้างนวัตกรรมใหม่ได้
· Cross-Cultural understanding คือ
ทักษะที่เน้นความเข้าใจในกลุ่มคนในหลากหลายชาติพันธ์ เพราะเราเป็นสังคมโลก
· Collaboration Teamwork &
leadership คือ ทักษะการทำงานเป็นทีม การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ความเป็นผู้นำ
· Communication information and media
literacy คือ ความสามารถในการสื่อสาร ความสามารถในการรู้จักข้อมูล
ความสามารถในการเข้าใจสื่อ
· ICT literacy คือ
ความสามารถในยุคของ Digital age ความสามารถในการใช้เครื่องเทคโนโลยี
· Career and Life skill คือ
ทักษะการใช้ชีวิต คือทักษะการประกอบอาชีพ
หรืออาจหมายถึงความรับผิดชอบต่อหน้าที่และสังคมของเรา
ดังที่ได้กล่าวมาเมื่อนำกหลัก 7Cs มาจัดกลุ่ม
สามารถแบ่งออกได้ 3 ส่วน คือ
· การพัฒนาด้านความคิด ได้แก่ Critical
Thinking, Creativity, Collaboration, และ Cross-Culture
· ความสามารถความเข้าใจ (Literacy) ได้แก่ Information,
Communication, Media, และ ICT
· ทักษะการใช้ชีวิต (Life Skill) ได้แก่
การมองโลกหรือคนอื่นรอบๆ เป็นศูนย์กลางไม่ใช่มองตนเองเป็นศูนย์กลาง
3. สี่เสาหลักของการศึกษา (The four Pillars
of Education)
พจนานุกรมศัพท์ศึกษาศาสตร์
ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้คำอธิบายไว้ว่าหมายถึง หลักสำคัญ ๔
ประการของการศึกษาตลอดชีวิต
ตามคำอธิบายของคณะกรรมาธิการนานาชาติว่าด้วยการศึกษาในคริสต์ศตวรรษที่ ๒๑
ซึ่งได้เสนอรายงานเรื่อง Learning : The Treasure Within ต่อองค์การการศึกษา
วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) เมื่อ ค.ศ.
๑๙๙๕ ว่าการศึกษาตลอดชีวิตมีหลักสำคัญ ๔ ประการ ได้แก่
1. การเรียนเพื่อรู้ (Learning to Know) การเรียนที่ผสมผสานความรู้ทั่วไปกับความรู้ใหม่ในเรื่องต่าง
ๆ อย่างละเอียดลึกซึ้ง และยังหมายรวมถึงการฝึกฝนวิธีเรียนรู้
เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิต
2. การเรียนรู้เพื่อปฏิบัติได้จริง (Learning to Do) การเรียนรู้ที่ช่วยให้บุคคลสามารถรับมือกับสถานการณ์ต่าง
ๆ และปฏิบัติงานได้ เป็นการเรียนรู้โดยอาศัยประสบการณ์ต่าง ๆ
ทางสังคมและในการประกอบอาชีพ
3. การเรียนรู้เพื่อการอยู่ร่วมกัน (Learning to Live Together) การเรียนรู้ที่ช่วยให้บุคคลเข้าใจผู้อื่นและตระหนักดีว่า
มนุษย์เราจะต้องพึ่งพาอาศัยกัน ดำเนินโครงการร่วมกันและเรียนรู้วิธีแก้ปัญหาข้อขัดแย้งต่าง
ๆ โดยตระหนักในความแตกต่างหลากหลาย ความเข้าใจอันดีต่อกันและสันติภาพ
ว่าเป็นสิ่งล้ำค่าคู่ควรแก่การหวงแหน
4. การเรียนรู้เพื่อชีวิต (Learning to Be) การเรียนรู้ที่ช่วยให้บุคคลสามารถปรับปรุงบุคลิกภาพของตนได้ดีขึ้น
ดำเนินงานต่าง ๆ โดยอิสระยิ่งขึ้น มีดุลพินิจ และความรับผิดชอบต่อตนเองมากขึ้น
การจัดการศึกษาต้องไม่ละเลยศักยภาพในด้านใดด้านหนึ่งของบุคคล เช่น ความจำ
การใช้เหตุผล ความซาบซึ้งในสุนทรียภาพ สมรรถนะทางร่างกาย
ทักษะในการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น
กระบวนการพัฒนาหลักสูตร
การออกแบบหลักสูตร (Curriculum Design) เป็นขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการพัฒนาหลักสูตร
โดยในที่นี้จะนำเสนอแนวคิดและรูปแบบกระบวนการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์ (Tyler’s Model Curriculum
Development)
เพื่อใช้ในการอธิบายเนื่องจากเป็นรูปแบบที่สามารถทำความเข้าใจได้ง่ายที่สุด
และนำไปใช้เป็นแนวคิดในการพัฒนาหลักสูตรต่างๆได้เป็นอย่างดี
Ralph
Tyler ได้ให้แนวคิดในการพัฒนาหลักสูตรว่าหลักสูตรที่ดีจำเป็นต้องตอบคำถามพื้นฐานจำนวน
4 ข้อ คือ
1) What is the purpose of the
education? (มีจุดมุ่งหมายทางการศึกษาอะไรบ้างที่โรงเรียนควรจะแสวงหา)
2) What educational experiences
will attain the purposes? (มีประสบการณ์ทางการศึกษาอะไรบ้างที่โรงเรียนควรจัดขึ้นเพื่อช่วยให้บรรลุถึงจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้)
3) How can these experiences be
effectively organized? (จะจัดประสบการณ์ทางการศึกษาอย่างไร
จึงจะทำให้การสอนมีประสิทธิภาพ)
4) How can we determine when the
purposes are met? (๔. จะประเมินผลประสิทธิภาพของประสบการณ์ในการเรียนอย่างไร จึงจะตัดสินได้ว่าบรรลุถึงจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้)
นอกจากคำถามดังกล่าวแล้ว Tyler ยังได้เสนอหลักการในการพัฒนาหลักสูตรว่าประกอบด้วย
4 หลักการ คือ
1) Planning (การวางแผนของหลักสูตร)
2) Design (การออกแบบหลักสูตร)
3) Organize (การจักการหลักสูตร)
4) Evaluation (การประเมินหลักสูตร)
โดยเมื่อนำหลักการของไทเลอร์มาเทียบเคียงกับคำถามที่เป็นปัจจัยพื้นฐาน
จะพบว่ามีความสอดคล้องกันดังนี้
คำถามปัจจัยพื้นฐาน
|
หลักการพัฒนาหลักสูตร
|
1. What is the purpose of the
education? (จะสอนอะไร)
|
1. Planning (การวางแผนหลักสูตร)
|
2. What educational experiences
will attain the purposes? (จะเอาอะไรมาสอน)
|
2. Design (การออกแบบหลักสูตร)
|
3. How can these experiences be
effectively organized? (จะสอนอย่างไร)
|
3. Organize (การวางแผนการใช้หลักสูตร)
|
4. How can we determine when the
purposes are met?(จะรู้ได้อย่างไรว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้)
|
4. Evaluation (การประเมินหลักสูตร)
|
โมเดลการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของไทเลอร์นี้ ได้ดัดแปลงมาจากโมเดลของ Ornstein
and Hunskin (1998)โดยได้นำคำถามที่เป็นปัจจัยพื้นฐานในการทำหลักสูตรของไทเลอร์
(สัญลักษณ์ Q) มากำกับในขั้นตอนต่างๆของกระบวนการพัฒนาหลักสูตรตามหลักการของไทเลอร์
ดังนี้
กระบวนการในการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์สามารถกำหนดได้เป็น
2 ช่วงหลัก คือ ช่วงที่ 1 ยังไม่มีหลักสูตร และ ช่วงที่ 2
มีหลักสูตรเกิดขึ้นมาแล้ว โดยมีรายละเอียดดังนี้ ในช่วงที่ยังไม่มีหลักสูตร
จะเริ่มต้นจาก Tentative Objectives(กำหนดวัตถุประสงค์ชั่วคราว)
จะเป็นการตอบคำถามข้อที่ 1 คือ จะเอาอะไรมาสอน
โดยข้อมูลที่จะเป็นนั้นจะได้จากแหล่งข้อมูล (Source)
ซึ่งประกอบด้วย ข้อมูลด้านผู้เรียน (Learner)
ข้อมูลจากผู้รู้ (Subject Matter) และข้อมูลพื้นฐานทางสังคม (Social)
จากนั้นจึงนำข้อมูลที่ได้เข้าสู่กระบวนการกลั่นกรอง (Screens)
โดยมีพื้นฐานที่สำคัญคือ พื้นฐานทางด้านปรัชญา (Philosophy)
พื้นฐานทางจิตวิทยา (Psychology) และพื้นฐานทางสังคม (Social)
เมื่อสิ้นสุดกระบวนการกลั่นกรองนี้แล้วจะได้หลักสูตรเกิดขึ้นมา
ที่มีวัตถุประสงค์ที่ถาวร (Tentative Objectives)
ซึ่งได้มาจากการออกแบบ (Design) ที่มีแนวคิดในการออกแบบดังที่กล่าวในตอนต้น
โดยในขั้นนี้จะเป็นการตอบคำถามข้อที่ 2 ว่าเราจะสอนอะไรให้กับผู้เรียนบ้าง
ถัดจากขั้นตอนของการออกแบบจึงเข้าสู่ช่วงการวางแผนการใช้หลักสูตร (Organize)
เป็นการตอบคำถามข้อที่ 3 ว่าจะจัดการสอนให้กับผู้เรียนอย่างไร (Selected
Experiences)
โดยครูผู้สอนเป็นผู้มีบทบาทหน้าที่ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับหลักสูตร
และจากนั้นจึงเข้าสู่รูปแบบของการประเมิน (Evaluation)
เป็นการตอบคำถามข้อที่ 4 ว่า ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้หรือไม่
โดยในการประเมินนี้จะแบ่งการประเมินออกเป็น 2 ส่วน คือ การประเมินหลักสูตร
และการประเมินผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน
3.แลกเปลี่ยนแนวคิดกับเพื่อนนักศึกษา
หรือผู้รู้ เปรียบเทียบหลักสูตรและนำเสนอแนวคิดแต่ละประเภทของหลักสูตรในการนำไปใช้
หลักสูตรแต่ละประเภทขึ้นอยู่กับการตอบสนองผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการสอนและสถานการณ์ต่าง
ๆ ที่มีความเหมาะสม กับประเภทการศึกษา
ซึ่งหลักสูตรแต่ละประเภทก็จะมีจุดเด่นจุดด้อยที่แตกต่างกัน
สามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยช์นต่อการศึกษาเพื่อพัฒนามนุษย์คำสำคัญ (Key
words)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น